แผลร้อนใน หรือแผลในปาก เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพช่องปากที่สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน แม้ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตรายและหายได้เอง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เจ็บปวดเวลากินอาหารหรือพูดคุย บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักแผลร้อนในให้ลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการรักษาที่ถูกต้อง การดูแลตัวเอง ไปจนถึงสัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์ เพื่อให้คุณจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างอยู่หมัด
สรุปข้อมูลสำคัญ
- ชื่ออาการ : ร้อนใน (Canker Sore/Aphthous Ulcer)
- ลักษณะอาการ : แผลเล็ก ๆ ภายในช่องปาก เช่น ริมฝีปากด้านใน แก้ม ลิ้น หรือเหงือก มีลักษณะเป็นวงกลมขาวขอบแดง ทำให้เจ็บแสบเวลากินอาหารหรือพูด
- สาเหตุหลัก : ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด การขาดวิตามินบี 12 หรือวิตามินซี การกัดกระพุ้งแก้ม การแพ้อาหาร การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- กลุ่มเสี่ยง : ผู้ที่พักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ผู้หญิงช่วงมีประจำเดือน
- ภาวะแทรกซ้อน : แผลอาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น ส่งผลต่อการกินและพูดในชีวิตประจำวัน
- การรักษาเบื้องต้น : พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดและเปรี้ยว ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ทายาแก้อักเสบเฉพาะจุด รับประทานอาหารที่อ่อนนุ่ม
- ควรพบแพทย์เมื่อ : แผลร้อนในขนาดใหญ่ มีหลายจุด ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ มีไข้ร่วมด้วย หรือเจ็บจนรับประทานอาหารไม่ได้
อาการของ แผลร้อนใน
การสังเกตลักษณะของแผลในปากตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ดูแลรักษาได้อย่างถูกวิธี แผลร้อนในมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากแผลชนิดอื่นในช่องปาก อาการโดยทั่วไปที่บ่งบอกว่าเป็นแผลร้อนในมีดังนี้
- ลักษณะของแผล เป็นแผลตื้น ๆ รูปทรงค่อนข้างกลมหรือรี มีขนาดเล็กประมาณ 1-5 มิลลิเมตร
- สีของแผล ตัวแผลมักมีสีขาว เหลือง หรือเทาอ่อน ๆ
- ขอบแผล บริเวณรอบ ๆ แผลจะมีขอบสีแดงชัดเจน ขอบยกนูน ซึ่งเกิดจากการอักเสบ
- ตำแหน่งที่พบ มักเกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เช่น กระพุ้งแก้ม ริมฝีปากด้านใน ใต้ลิ้น หรือบนเหงือก
- อาการเจ็บปวด รู้สึกเจ็บหรือแสบบริเวณแผล โดยเฉพาะเมื่อถูกสัมผัส หรือระหว่างการกินอาหาร ดื่มน้ำ และพูดคุย
- จำนวนแผล อาจเกิดขึ้นเพียงแผลเดียว หรือเกิดขึ้นหลายแผลพร้อมกันกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในช่องปาก
- อาการเริ่มต้น มีอาการระคายเคืองหรือเจ็บ มีแผลเล็ก ๆ มีอาการเจ็บเมื่อไปโดน
โดยปกติแผลร้อนในชนิดที่ไม่รุนแรง (Minor Aphthous Ulcers) จะหายได้เองภายใน 7-14 วันโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น แต่หากแผลมีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตรขึ้นไป หรือเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเพิ่มเติม
เปิดสาเหตุของแผลร้อนใน ปัจจัยกระตุ้นที่ควรเลี่ยง
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดแผลร้อนในได้ แต่เชื่อว่ามีปัจจัยกระตุ้นหลายอย่างที่ทำงานร่วมกันจนทำให้เกิดแผลขึ้นมาในช่องปาก การทำความเข้าใจและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดแผลร้อนในซ้ำได้
ปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่
- การบาดเจ็บในช่องปาก
- การเผลอกัดกระพุ้งแก้มหรือลิ้นของตัวเอง
- การแปรงฟันที่รุนแรงเกินไปจนทำให้ขนแปรงขูดเหงือก
- การระคายเคืองจากอุปกรณ์ทันตกรรม เช่น เหล็กดัดฟัน หรือฟันปลอมที่ไม่พอดี
- ความเครียดและการพักผ่อน
- ความเครียดสะสมทางอารมณ์และร่างกาย
- การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง
- อาหารและสารอาหาร
- การขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 สังกะสี กรดโฟลิก และธาตุเหล็ก
- การแพ้อาหารหรือการระคายเคืองจากอาหารบางชนิด เช่น ของทอด ของมัน อาหารรสจัด ชีส หรือผลไม้รสเปรี้ยวจัด
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- มักพบได้บ่อยในผู้หญิงช่วงที่มีประจำเดือน
- ปัจจัยอื่น ๆ
- การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อแบคทีเรียในช่องปาก
- พันธุกรรม หากคนในครอบครัวเป็นร้อนในบ่อย ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นได้ง่ายกว่าคนอื่น
- โรคหรือยาบางชนิด
รวม ยาแก้แผลในปาก และวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น
เมื่อเป็นแผลร้อนใน การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและทำให้แผลหายเร็วขึ้น การรักษาสามารถแบ่งออกเป็นการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ และการปรับพฤติกรรมการดูแลตัวเองเบื้องต้น ซึ่งสามารถทำควบคู่กันไปได้
การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ
- ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ (Topical Corticosteroids) เป็นยาที่นิยมใช้มากที่สุด มีรูปแบบทั้งเจล ขี้ผึ้ง หรือแผ่นแปะ ช่วยลดการอักเสบและอาการปวดได้ดี ควรใช้ยาหลังอาหารและก่อนนอนเพื่อให้ยาได้ออกฤทธิ์เต็มที่
- ยาชาเฉพาะที่ (Topical Anesthetics) เช่น ยาที่มีส่วนผสมของลิโดเคน (Lidocaine) หรือเบนโซเคน (Benzocaine) ช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็ว แต่จะออกฤทธิ์เพียงชั่วคราว
- น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ ช่วยทำความสะอาดช่องปากและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนบริเวณแผล ควรเลือกสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
- ยาแก้ปวด หากมีอาการปวดมาก สามารถกินยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการได้
การดูแลตัวเองเบื้องต้น
- รักษาความสะอาดช่องปาก แปรงฟันอย่างนุ่มนวลด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มและใช้ยาสีฟันที่ไม่มีสาร SLS
- หลีกเลี่ยงการรบกวนแผล พยายามอย่าใช้ลิ้นดุนแผลหรือใช้มือสัมผัสโดยตรง
- ปรับการกินอาหาร เลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดร้อน เปรี้ยวจัด และของแข็งที่อาจเสียดสีกับแผล
5 วิธีดูแลแผลร้อนในด้วยตัวเองที่บ้าน
นอกจากการใช้ยาแล้ว ยังมีวิธีดูแลตัวเองง่าย ๆ ที่บ้านซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการและเร่งกระบวนการฟื้นฟูของแผลร้อนในให้ดีขึ้นได้ วิธีเหล่านี้เน้นการใช้วัสดุที่หาได้ง่ายและปลอดภัย
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ
- วิธีทำ : ผสมเกลือประมาณครึ่งช้อนชาลงในน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว คนให้ละลาย
- วิธีการใช้ : อมและกลั้วปากเบา ๆ ประมาณ 30 วินาที แล้วบ้วนทิ้ง
- ประโยชน์ : น้ำเกลือมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอ่อน ๆ และช่วยทำความสะอาดช่องปาก ทำให้แผลสะอาดและหายเร็วขึ้น ควรทำวันละ 2-3 ครั้งหลังอาหาร
- ประคบด้วยน้ำแข็ง
- วิธีทำ : นำก้อนน้ำแข็งขนาดเล็กมาอมไว้ใกล้ ๆ บริเวณที่เป็นแผล
- ประโยชน์ : ความเย็นจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้รู้สึกชาและบรรเทาอาการปวดแสบได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับใช้บรรเทาอาการปวดแบบเร่งด่วน
- เลือกกินอาหารอ่อน ๆ และเย็น
- ตัวอย่างอาหาร : โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป โยเกิร์ต หรือไอศกรีม
- ประโยชน์ : อาหารลักษณะนี้จะช่วยลดการเสียดสีและระคายเคืองที่แผล ทำให้กินอาหารได้ง่ายขึ้นและไม่เจ็บปวดมากนัก
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- คำแนะนำ : ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- ประโยชน์ : การดื่มน้ำจะช่วยให้ช่องปากชุ่มชื้น ลดการสะสมของแบคทีเรีย และช่วยให้กระบวนการซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
ปรับพฤติกรรมป้องกันแผลร้อนในไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกันไม่ให้เกิดแผลร้อนในซ้ำ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและใส่ใจดูแลสุขภาพองค์รวมสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของการเกิดแผลในปากได้อย่างมีนัยสำคัญ
แนวทางการปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกัน
- ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน
- เสริมสารอาหารที่จำเป็น : กินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม ธาตุเหล็ก สังกะสี และกรดโฟลิก เช่น ผักใบเขียว ตับ เนื้อสัตว์ ธัญพืชไม่ขัดสี และไข่
- หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้น : สังเกตและจดจำว่าอาหารชนิดใดที่มักทำให้เกิดแผลร้อนในหลังกิน เช่น ของทอด ถั่ว หรือผลไม้รสเปรี้ยวจัด แล้วพยายามหลีกเลี่ยง
- ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม : ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม และพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันที่ไม่ระคายเคือง เช่น ยาสีฟันสำหรับเด็ก
- แปรงฟันอย่างนุ่มนวล : ลดแรงกดขณะแปรงฟันเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของเยื่อบุในช่องปาก และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
- จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
- หาวิธีผ่อนคลาย : ทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ
- นอนหลับให้มีคุณภาพ : พยายามนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ
- พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาความผิดปกติในช่องปาก และแก้ไขปัญหาที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ขอบฟันที่คม หรืออุปกรณ์จัดฟันที่ไม่พอดี
ร้อนในแบบไหนเป็นสัญญาณอันตรายควรพบแพทย์
แม้ว่าแผลร้อนในส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่รุนแรงกว่า หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องการการดูแลจากแพทย์ ดังนั้น หากคุณมีอาการร้อนในร่วมกับลักษณะผิดปกติบางอย่าง ไม่ควรนิ่งนอนใจและควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย
สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์ทันที
- แผลมีขนาดใหญ่ผิดปกติ แผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร
- จำนวนแผลมากและลุกลาม มีแผลใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่แผลเก่าจะหาย หรือมีแผลกระจายจำนวนมาก
- แผลเรื้อรัง ไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยปกติแผลร้อนในควรจะดีขึ้นและหายเอง หากเป็นนานกว่านั้นอาจมีความผิดปกติอื่นซ่อนอยู่
- มีอาการเจ็บปวดรุนแรง ปวดมากจนไม่สามารถกินอาหารหรือดื่มน้ำได้ตามปกติ
- มีอาการทางร่างกายอื่น ๆ ร่วมด้วย
- มีไข้สูง
- ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอหรือใต้คาง
- รู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ
- มีแผลเกิดขึ้นบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น ที่อวัยวะเพศ
- ตำแหน่งของแผลผิดปกติ แผลมีลักษณะขอบแข็ง หรือเกิดขึ้นบริเวณเพดานแข็ง ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่พบบ่อยของแผลร้อนในทั่วไป
การไปพบแพทย์จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องว่าแผลนั้นเป็นเพียงแผลร้อนในธรรมดา หรือเป็นอาการแสดงของโรคอื่น เช่น โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อไวรัสบางชนิด หรือในกรณีที่พบน้อยมากอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งในช่องปาก
แผลร้อนในเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและสร้างความเจ็บปวดรำคาญใจ แต่โดยส่วนใหญ่สามารถจัดการและดูแลให้หายได้ด้วยตนเอง การทำความเข้าใจถึงสาเหตุและปัจจัยกระตุ้นเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ การรักษาความสะอาดในช่องปาก การเลือกใช้ยาแก้แผลในปากที่เหมาะสม และการดูแลตัวเองที่บ้าน เช่น การบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ สามารถช่วยบรรเทาอาการและทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากแผลร้อนในมีลักษณะที่น่ากังวล เช่น เป็นนานไม่หาย มีขนาดใหญ่ หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยและรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป การดูแลสุขภาพองค์รวมให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทั้งด้านโภชนาการ การพักผ่อน และการจัดการความเครียด ถือเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดจากปัญหาร้อนในและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผลร้อนใน
Q1: แผลร้อนในติดต่อกันได้หรือไม่
A: แผลร้อนใน (Aphthous Ulcer) ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัส น้ำลาย หรือการใช้ภาชนะร่วมกันได้ เนื่องจากไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้โดยตรงเหมือนโรคเริม
Q2: การเป็นร้อนในบ่อย ๆ เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งช่องปากหรือไม่
A: โดยทั่วไปแผลร้อนในไม่มีความเกี่ยวข้องและไม่ได้เป็นสัญญาณของโรคมะเร็งช่องปาก แต่หากพบว่ามีแผลเรื้อรังในตำแหน่งเดิมที่ไม่ยอมหายนานเกิน 3 สัปดาห์ มีลักษณะขอบแผลแข็งนูน หรือมีเลือดออกง่าย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด
Q3: เด็กเล็กสามารถเป็นแผลร้อนในได้หรือไม่ และควรดูแลอย่างไร
A: เด็กเล็กสามารถเป็นแผลร้อนในได้เช่นกัน การดูแลเบื้องต้นคือให้เด็กกินอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อลดการระคายเคือง หากเด็กเจ็บมากจนไม่ยอมทานอาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับยาที่เหมาะสมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
Q4: ควรใช้ยาชนิดใดเป็นอันดับแรกเมื่อเริ่มเป็นแผลร้อนใน
A: สำหรับแผลร้อนในที่ไม่รุนแรง สามารถเริ่มต้นด้วยการใช้ยาป้ายปากกลุ่มสเตียรอยด์อ่อน ๆ ที่หาซื้อได้ตามร้านยาทั่วไป เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการปวด ควบคู่ไปกับการบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ เพื่อรักษาความสะอาด
Q5: การดื่มน้ำน้อยเป็นสาเหตุโดยตรงของแผลร้อนในใช่หรือไม่
A: การดื่มน้ำน้อยไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เยื่อบุในช่องปากแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลร้อนใน การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงช่วยรักษาสมดุลในช่องปากและเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันที่ดี
ข้อมูลโดย
ทพ.ภูมิพัฒน์ ลีชนะวานิชพันธ์
ฝ่ายทันตกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ









