ยาลดความดันโลหิต เป็นยาที่ช่วยควบคุมระดับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือไตวาย แต่การใช้ยาอย่างไม่ถูกวิธีอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่มักมีโรคร่วมหลายชนิด บทความนี้จะพาไปรู้จัก “ยาลดความดันโลหิต” พร้อมแนวทางการใช้ยาอย่างปลอดภัยและเหมาะสมในชีวิตประจำวัน
สรุปข้อมูลสำคัญ
- กลุ่มยา : ACE inhibitors, ARBs, Calcium Channel Blockers, Beta-blockers, Diuretics
- ข้อบ่งใช้ทั่วไป : ใช้รักษาและควบคุมภาวะความดันเลือดสูง ป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ข้อควรระวังหลัก : ห้ามหยุดยาเอง, ควรวัดความดันสม่ำเสมอ
- เอกสารที่ควรอ่าน : ใบกำกับยา, คำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร
- อัปเดตล่าสุด : 9 ตุลาคม 2025
- แหล่งอ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ยาลดความดันโลหิต คืออะไร
ยาลดความดันโลหิต คือ ยาที่ช่วยควบคุมความดันเลือดให้อยู่ในระดับปลอดภัย โดยลดแรงต้านการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือด ช่วยให้หัวใจทำงานเบาลง และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองแตก หรือไตเสื่อม ผู้สูงวัยมักต้องใช้ยากลุ่มนี้ตลอดชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้ความดันเลือดพุ่งสูงจนเกิดอันตราย แต่จำเป็นต้องใช้ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงทางการเผาผลาญและการขับยา ทำให้ผลของยาแตกต่างจากวัยหนุ่มสาว
กลุ่มยาหลักที่ใช้ลดความดันโลหิต มีอะไรบ้าง
- ACE inhibitors (เช่น Enalapril, Lisinopril) ลดการหดตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
- ARBs (เช่น Losartan, Valsartan) ออกฤทธิ์คล้าย ACE inhibitors แต่ผลข้างเคียงในเรื่องของอาการไอน้อยกว่า
- Calcium Channel Blockers (เช่น Amlodipine) ช่วยคลายกล้ามเนื้อหลอดเลือด ลดแรงต้านการไหลของเลือด
- Beta-blockers (เช่น Atenolol, Metoprolol) ลดอัตราการเต้นของหัวใจและแรงบีบตัว
- Diuretics (ยาขับปัสสาวะ เช่น Hydrochlorothiazide) ช่วยขับน้ำและเกลือแร่ส่วนเกินโดยเฉพาะโซเดียมออกจากร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง
ข้อควรระวังของ ยาลดความดันโลหิต มีอะไรบ้าง
การใช้ ยาลดความดันโลหิต แม้จะช่วยควบคุมความดันเลือดและลดความเสี่ยงของโรคร้ายได้ดี แต่ก็มี ข้อควรระวังสำคัญ ที่ผู้สูงอายุไม่ควรมองข้าม เพราะร่างกายในวัยนี้ตอบสนองต่อยาได้แตกต่างจากคนหนุ่มสาว การใช้ยาผิดวิธีเพียงเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ข้อควรระวังหลักในการใช้ยาลดความดัน มีดังนี้
- ห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด ถึงแม้ค่าความดันจะดูเหมือนปกติแล้ว แต่การหยุดยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์อาจทำให้ความดันดีดกลับขึ้นสูงทันที ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจวายเฉียบพลันได้
- วัดความดันอย่างสม่ำเสมอ ควรวัดทุกวันในเวลาเดียวกัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่น เพื่อให้รู้แนวโน้มความดันและประเมินผลการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
- ระวังอาการเวียนหัว หน้ามืด หรือขาบวม หากมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง ควรแจ้งแพทย์ เพราะอาจเป็นผลข้างเคียงของยา เช่น ความดันต่ำเกิน หรือการคั่งของของเหลวในร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เช่น กระเทียม โสม หรือผลิตภัณฑ์ลดไขมันบางชนิด อาจรบกวนการออกฤทธิ์ของยาลดความดันโลหิต หรือทำให้ความดันลดมากเกินไป
- ระวังการเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เพิ่งตื่นนอนหรือเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นยืน เพราะยาบางชนิดอาจทำให้ความดันตกทันที ควรลุกช้า ๆ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดหรือหกล้ม
- เก็บยาในที่แห้งและพ้นแสงแดด ยาหลายชนิดเสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อโดนความชื้นหรือแสง จึงควรเก็บในภาชนะปิดสนิท และไม่ควรนำไปใส่รวมกับยาอื่นในกล่องเดียวกันโดยไม่มีฉลากกำกับ
ผลข้างเคียงยาลดความดันโลหิต มีอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงขึ้นอยู่กับกลุ่มยา เช่น
- ACE Inhibitors (เช่น Enalapril, Lisinopril) ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ไอแห้งเรื้อรัง เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือบางรายอาจมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ARBs (เช่น Losartan, Valsartan) อาการข้างเคียงเช่นเดียวกับยากลุ่ม ACE Inhibitors ยกเว้นอาการไอแห้ง ที่มักจะไม่พบจากการใช้ยากลุ่มนี้
- Calcium Channel Blockers (เช่น Amlodipine) อาจทำให้เกิด ขาบวม หน้าแดง ใจเต้นเร็ว หรือปวดศีรษะ หากมีอาการบวมมากควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับยา
- Beta-blockers (เช่น Atenolol, Metoprolol) ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น หรือหัวใจเต้นช้าเกินไป บางรายอาจมีอาการนอนไม่หลับหรือฝันร้าย
- Diuretics (ยาขับปัสสาวะ เช่น Hydrochlorothiazide) ทำให้ ปัสสาวะบ่อย เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ หรือเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตะคริว หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
ทำไม ยาลดความดันโลหิต ห้ามปรับขนาดยาเอง
กินยามาหลายปีแล้ว ความดันก็ปกติดี จะลองลดขนาดยาดูได้ไหม ?” นี่คือคำถามที่ผู้สูงวัยหลายคนมักสงสัย แต่คำตอบคือ “ห้ามปรับขนาดยาด้วยตนเองเด็ดขาด” เพราะยาลดความดันโลหิตเป็นยาที่ต้องใช้การปรับอย่างระมัดระวัง และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
เหตุผลที่ห้ามปรับยาเอง
- ความดันอาจพุ่งสูงทันที เมื่อหยุดยา หรือปรับลดขนาดยาเอง ร่างกายจะตอบสนองด้วยการเพิ่มความดันกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว เสี่ยงต่อ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือ หัวใจวายเฉียบพลัน
- เสี่ยงความดันต่ำเกินไป หากเพิ่มขนาดยามากเกินจำเป็น ความดันอาจลดลงมากจนทำให้เกิด อาการหน้ามืด เวียนหัว หรือหมดสติ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีสมดุลของร่างกายไม่คงที่
- การตอบสนองต่อยาแต่ละคนไม่เท่ากัน ปัจจัยอย่างอายุ โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคไต ส่งผลต่อการดูดซึมและขับยาของร่างกาย แพทย์จึงต้องประเมินผลเลือดและความดันก่อนปรับขนาดยาเสมอ
- ยาบางชนิดต้องใช้เวลาปรับตัว ยาบางชนิดอาจต้องเริ่มจากขนาดต่ำและค่อย ๆ เพิ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียง เช่น ความดันตกหรือหัวใจเต้นช้าเกินไป
เวลากินยาลดความดันที่เหมาะสม
โดยทั่วไป ยาลดความดันโลหิตควรกิน เวลาเดียวกันทุกวัน เช่น ช่วงเช้าหลังอาหาร เพื่อให้ระดับยาในเลือดคงที่ หากแพทย์สั่งยาหลายชนิด ควรจัดตารางกินให้เหมาะ เช่น
- ยาขับปัสสาวะ ควรกินตอนเช้า เพื่อไม่ให้ตื่นบ่อยตอนกลางคืน
- ยา Beta-blocker หรือ Calcium blocker ควรกินตามเวลาที่แพทย์แนะนำ เพราะบางชนิดออกฤทธิ์ยาว
หากลืมกินยา ไม่ควรกินเพิ่มสองเท่า ให้กินทันทีที่นึกได้ และปรึกษาแพทย์หากลืมบ่อย
ยาลดความดันโลหิต “เพื่อนคู่ใจ” ของผู้สูงวัย ที่ช่วยยืดอายุและลดความเสี่ยงโรคร้ายได้ แต่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจและมีวินัย การกินยาอย่างถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง และตรวจติดตามกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้การควบคุมความดันเป็นเรื่องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยาลดความดันโลหิต
Q1: ยาลดความดันสามารถหยุดกินได้ไหม ?
A: ไม่ควรหยุดเอง ต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาเท่านั้น เพราะอาจทำให้ความดันกลับมาสูงอย่างรวดเร็ว
Q2: ถ้ากินยาแล้วเวียนหัว ควรทำอย่างไร ?
A: นั่งพัก วัดความดัน หากต่ำเกินไปหรืออาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์
Q3: ดื่มกาแฟได้ไหมเมื่อกินยาลดความดัน ?
A: ดื่มได้ในปริมาณพอเหมาะ แต่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มก่อนวัดความดัน เพราะคาเฟอีนอาจทำให้ค่าความดันสูงชั่วคราว
Q4: ต้องกินยาลดความดันตลอดชีวิตไหม ?
A: ส่วนใหญ่ใช่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ แต่แพทย์อาจปรับลดได้หากสุขภาพและพฤติกรรมดีขึ้น
ข้อมูลโดย
ภก.นาวาวี ยียะห์ยา
เภสัชกรรมคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 0 2201 1000 หรือ 0 2200 3000
คลิกชมคลิป “ยาที่ต้องระวังในผู้สูงอายุ : Podcast คุยกันภาษาหมอ ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










