อาการมือชา นิ้วชา เป็นความรู้สึกผิดปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะรู้สึกซ่า ๆ เหมือนเข็มทิ่ม หรือรู้สึกหนา ๆ จนหยิบจับอะไรไม่ถนัด หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นชั่วคราวจากการนั่งหรือนอนทับแขน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการมือชาอาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพหรือโรคร้ายแรงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ การทำความเข้าใจสาเหตุ รู้จักสังเกตอาการ และรับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาสุขภาพลุกลามจนยากจะแก้ไข
เช็กเลย อาการมือชาแบบไหนที่คุณเป็น
อาการมือชาไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว การสังเกตลักษณะและตำแหน่งที่เกิดอาการชา จะช่วยให้สามารถคาดเดาสาเหตุเบื้องต้นได้แม่นยำยิ่งขึ้น ลองสำรวจดูว่าอาการของคุณตรงกับข้อไหนมากที่สุด
- ชาที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางครึ่งซีก
- เป็นลักษณะเด่นของ “กลุ่มอาการพังผืดรัดข้อมือ” (Carpal Tunnel Syndrome) ซึ่งเกิดจากการที่เส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ถูกกดทับบริเวณข้อมือ
- ระยะแรกอาการมักจะเป็นมากขึ้นตอนกลางคืนหรือหลังตื่นนอน บางครั้งอาจปวดร้าวขึ้นไปถึงแขน
- เมื่อเป็นมากขึ้นจะชาตลอดเวลา และมีกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งมือลีบลง
- มักพบในผู้ที่ใช้งานข้อมือหนัก ๆ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ, การทำงานบ้าน หรือช่างที่ต้องใช้เครื่องมือสั่นสะเทือน
- ชาที่นิ้วก้อย และนิ้วนางด้านนิ้วก้อย
- อาจเกิดจากเส้นประสาทอัลนาร์ (Ulnar Nerve) ถูกกดทับ ซึ่งมักเกิดบริเวณข้อศอก
- สาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากการงอข้อศอกเป็นเวลานาน เช่น การคุยโทรศัพท์, การเท้าแขนบนโต๊ะ หรือการนอนโดยงอแขน
- ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า
- มีลักษณะคล้ายการสวมถุงมือ-ถุงเท้า (Glove and Stocking Pattern)
- เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานส่งผลให้เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม (Peripheral Neuropathy)
- นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการขาดวิตามินบี หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
- ชามือและแขน พร้อมกับอาการปวดคอ บ่า ไหล่
- อาจมีสาเหตุมาจากโรคกระดูกคอเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท
- มีอาการปวดร้าวจากคอหรือไหล่ลงไปที่มือ ร่วมกับมีอาการชาตามแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
- อาจมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนและมือร่วมด้วย
เปิดสาเหตุยอดฮิตที่ทำให้เกิดอาการมือชา นิ้วชา
อาการมือชาเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันไปจนถึงภาวะของโรคต่าง ๆ การทราบสาเหตุจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและป้องกันการเกิดอาการซ้ำได้
- การกดทับเส้นประสาท
- พฤติกรรม : การนั่ง, ยืน, หรือนอนในท่าเดิมเป็นเวลานาน ทำให้เส้นประสาทบางส่วนถูกกดทับชั่วคราว เช่น การนอนทับแขนตัวเอง, การนั่งไขว่ห้าง, การพิมพ์งานโดยวางข้อมือผิดท่า
- โครงสร้างร่างกาย : เกิดจากพังผืด, กระดูก, หรือกล้ามเนื้อไปกดทับเส้นประสาทโดยตรง เช่น กลุ่มอาการพังผืดรัดข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ซึ่งมักเกิดจากการใช้งานซ้ำ ๆ (repetitive motion) สะสมเป็นระยะเวลานาน
- การขาดวิตามิน
- วิตามินบี โดยเฉพาะ B1, B6 และ B12 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของระบบประสาท
- การขาดวิตามินเหล่านี้จะทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้าได้
- มักพบในผู้ที่กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- โรคประจำตัว
- เบาหวาน : เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะปลายประสาทอักเสบ เนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำลายเส้นประสาท
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ : การอักเสบของข้ออาจส่งผลให้เกิดการบวมและไปกดทับเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง
- ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) : อาจทำให้เกิดการบวมน้ำและเพิ่มแรงกดดันในช่องข้อมือได้
- อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
- การบาดเจ็บโดยตรงบริเวณแขน, ข้อมือ หรือคอ อาจทำให้เส้นประสาทเสียหายหรือเกิดการกดทับ และนำมาซึ่งอาการชาได้
- การใช้ยาบางชนิด
- ยาเคมีบำบัด หรือยาบางกลุ่ม อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้าได้
ล้วงลึก 5 โรคอันตรายที่ซ่อนอยู่ในอาการมือชา
อย่าเพิ่งวางใจว่าอาการมือชาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เพราะในบางกรณี มันอาจเป็นสัญญาณแรกของโรคร้ายแรงที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาทันที
- อาการชาที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่าง เฉียบพลัน และมักเป็น ครึ่งซีกของร่างกาย (เช่น ชาทั้งแขนและขาซีกซ้าย)
- อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น แขนขาอ่อนแรง, ใบหน้าเบี้ยว, พูดไม่ชัด หรือเวียนศีรษะบ้านหมุน
- โรคหมอนรองกระดูกคอเคลื่อนทับเส้นประสาท
- เมื่อหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมสภาพหรือปลิ้นออกมา จะไปกดทับเส้นประสาทที่วิ่งไปเลี้ยงแขนและมือ
- ผู้ป่วยจะมีอาการชาและปวดร้าวจากคอ บ่า ไหล่ ไปจนถึงปลายนิ้ว
- หากการกดทับรุนแรง อาจทำให้กล้ามเนื้อแขนและมืออ่อนแรงได้
- โรคเบาหวาน (Diabetes)
- อาการชาจากเบาหวานมักเริ่มจากปลายเท้าแล้วค่อย ๆ ลามขึ้นมาที่ปลายมือ
- เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานจนทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย
- ความอันตรายคือ เมื่อมีอาการชา ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดบาดแผลที่เท้า ทำให้แผลลุกลามติดเชื้อได้ง่าย
- เนื้องอกกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง
- แม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่เนื้องอกที่เกิดขึ้นบริเวณเส้นทางของเส้นประสาทหรือในไขสันหลัง สามารถก่อให้เกิดการกดทับและทำให้มีอาการชาและอ่อนแรงได้
- อาการมักจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นอย่างช้า ๆ และอาจมีอาการปวดร่วมด้วย
- โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis – MS)
- เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายปลอกหุ้มเส้นประสาทในสมองและไขสันหลัง
- อาการชาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย และมักมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การมองเห็นผิดปกติ หรือการทรงตัวลำบาก
สัญญาณอันตราย รีบพบแพทย์ทันทีเมื่อมือชาพร้อมอาการเหล่านี้
โดยส่วนใหญ่อาการมือชามักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่หากคุณมีอาการชาควบคู่ไปกับอาการดังต่อไปนี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจบ่งชี้ถึงภาวะอันตราย
- อาการเกิดขี้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรง : อยู่ ๆ ก็มีอาการชาขึ้นมาทันทีโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
- ชาครึ่งซีกของร่างกาย : มีอาการชาตั้งแต่ใบหน้าลงไปถึงแขนและขาซีกใดซีกหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง
- มีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย : ไม่สามารถกำมือได้แน่น, หยิบของแล้วหลุดมือบ่อย ๆ หรือยกแขนไม่ขึ้น
- การพูดหรือการมองเห็นผิดปกติ : มีอาการพูดไม่ชัด, พูดลำบาก, ลิ้นแข็ง หรือมองเห็นภาพซ้อน ภาพเบลอ
- มีอาการปวดรุนแรง : มีอาการปวดบริเวณคอ, บ่า, แขน หรือหน้าอกอย่างรุนแรงร่วมกับอาการชา
- ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ : มีปัญหากลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังอย่างรุนแรง
- อาการชากระจายไปทั่วร่างกาย : จากที่เคยชาแค่ปลายนิ้ว เริ่มลามไปทั้งมือ ทั้งแขน หรือส่วนอื่น ๆ
- อาการไม่ดีขึ้นและเป็นต่อเนื่อง : แม้จะพักการใช้งานหรือปรับพฤติกรรมแล้ว แต่อาการชายังคงอยู่หรือเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
แนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการมือชา
เมื่อไปพบแพทย์ด้วยอาการมือชา แพทย์จะเริ่มต้นจากการซักประวัติอย่างละเอียด เช่น ลักษณะของอาการ, ตำแหน่งที่ชา, ปัจจัยที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง รวมถึงโรคประจำตัวและยาที่ใช้ จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายเพื่อประเมินการทำงานของระบบประสาท และอาจมีการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
- การตรวจร่างกายทางระบบประสาท แพทย์จะทดสอบการรับความรู้สึก, กำลังของกล้ามเนื้อ และปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ต่าง ๆ เพื่อหาตำแหน่งของเส้นประสาทที่น่าจะเกิดปัญหา
- การตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Study – NCS) เป็นการตรวจเพื่อวัดความเร็วและความแรงของสัญญาณไฟฟ้าที่วิ่งผ่านเส้นประสาท ช่วยบอกได้ว่าเส้นประสาทเสียหายหรือถูกกดทับหรือไม่และรุนแรงเพียงใด
- การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography – EMG) มักทำควบคู่กับ NCS เพื่อประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อ ว่ามีความผิดปกติที่เกิดจากเส้นประสาทที่มาเลี้ยงหรือไม่
- การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี
- เอกซเรย์ (X-ray) เพื่อดูโครงสร้างกระดูก เช่น การเสื่อมของกระดูกคอ
- เอ็มอาร์ไอ (MRI) สามารถให้ภาพที่ละเอียดกว่า เห็นได้ทั้งกระดูก, หมอนรองกระดูก, เส้นประสาท และเนื้อเยื่ออ่อนต่าง ๆ
- การตรวจเลือด
- เพื่อตรวจหาสาเหตุจากโรคทางกายอื่น ๆ เช่น ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อหาโรคเบาหวาน, ตรวจระดับวิตามินบี หรือตรวจการทำงานของไทรอยด์
แนวทางการรักษา การรักษาจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอาการและแก้ไขที่ต้นเหตุ
- การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- การปรับพฤติกรรม หลีกเลี่ยงท่าทางหรือกิจกรรมที่ทำให้อาการกำเริบ
- การใช้ยา เช่น ยาลดการอักเสบ, ยาคลายกล้ามเนื้อ, วิตามินบี หรือยาที่ใช้รักษาอาการปวดจากปลายประสาท
- กายภาพบำบัด การออกกำลังกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อและเส้นประสาท, การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงข้อมือ (Splint)
- การฉีดยา การฉีดสเตียรอยด์เฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบบริเวณที่เส้นประสาทถูกกดทับ ทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ควรฉีดสเตียรอยด์ซ้ำบ่อย ๆ
- การรักษาด้วยการผ่าตัด จะพิจารณาในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีการกดทับเส้นประสาทที่รุนแรงจนกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือฝ่อลีบ
ท่าบริหารง่าย ๆ บรรเทาอาการมือชาเบื้องต้น
สำหรับอาการมือชาที่เกิดจากการใช้งานหรือการกดทับที่ไม่รุนแรง การบริหารยืดกล้ามเนื้อและเส้นประสาทเป็นประจำ สามารถช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้เป็นอย่างดี
- ท่าสะบัดมือ (Wrist Shakes)
- ทำท่าง่าย ๆ เหมือนสะบัดน้ำออกจากมือ
- ช่วยลดแรงดันในโพรงข้อมือและทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
- ทำเมื่อรู้สึกชาหรือทำบ่อย ๆ ระหว่างวัน โดยเฉพาะหลังตื่นนอน
- ท่ายืดเส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve Glide)
- กำมือเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เหยียดนิ้วให้ตรง
- กระดกข้อมือขึ้น-ลงช้า ๆ จากนั้นกางนิ้วออก
- ค่อย ๆ หมุนแขนและข้อมือเพื่อยืดเส้นประสาท
- ทำค้างไว้ท่าละ 5-10 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
- ท่าพนมมือและคว่ำมือ (Prayer Stretch)
- แบบพนมมือ ประกบฝ่ามือเข้าหากันเหมือนท่าไหว้ บริเวณหน้าอก ค่อย ๆ ลดมือลงจนรู้สึกตึงที่แขน ค้างไว้ 15-20 วินาที
- แบบคว่ำมือ ประกบหลังมือเข้าด้วยกัน ชี้ปลายนิ้วลง งอข้อศอกเล็กน้อย ค้างไว้ 15-20 วินาที
- ท่ากำ-แบ (Fist to Fan Stretch)
- เริ่มต้นด้วยการกำมือ โดยให้นิ้วโป้งอยู่ด้านนอก
- จากนั้นค่อย ๆ คลายและกางนิ้วออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ทำซ้ำ 10 ครั้ง จะช่วยให้เส้นเอ็นและเส้นประสาทขยับตัวได้ดีขึ้น
ข้อควรระวัง ควรทำท่าบริหารอย่างช้า ๆ ไม่ฝืนจนรู้สึกเจ็บ หากทำแล้วอาการแย่ลงควรหยุดและปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด
ปรับพฤติกรรม ลดเสี่ยงเลี่ยงอาการมือชา นิ้วชา
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดอาการมือชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปรับท่าทางการทำงาน
- การใช้คอมพิวเตอร์ จัดตำแหน่งหน้าจอ, คีย์บอร์ด และเมาส์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ข้อศอกควรทำมุมประมาณ 90 องศา ข้อมือควรอยู่ในแนวตรง ไม่หักงอหรือกระดกขึ้น-ลงมากเกินไป อาจใช้หมอนรองข้อมือช่วย
- การใช้โทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการถือโทรศัพท์คุยโดยงอข้อศอกเป็นเวลานาน ควรใช้หูฟังหรือเปิดลำโพงแทน
- พักการใช้งานเป็นระยะ
- ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์, การใช้โทรศัพท์ หรือทำงานที่ต้องใช้มือซ้ำ ๆ ควรหยุดพักทุก 30-60 นาที
- ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย บริหารมือและข้อมือง่าย ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้ผ่อนคลาย
- หลีกเลี่ยงการนอนทับแขน
- พยายามนอนในท่าที่สบาย ไม่กดทับแขนหรือข้อมือ หากจำเป็นอาจใช้หมอนรองแขนเพื่อจัดท่าทางให้เหมาะสม
- ควบคุมน้ำหนักตัว
- น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ รวมถึงเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการมือชา
- กินอาหารที่มีประโยชน์
- เน้นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี เช่น ข้าวซ้อมมือ, ธัญพืช, ตับ, ไข่ และผักใบเขียว เพื่อบำรุงระบบประสาทให้แข็งแรง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- การออกกำลังกายช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเส้นประสาทส่วนปลาย
- จัดการโรคประจำตัว
- หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ควรควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างสม่ำเสมอ
อาการมือชา นิ้วชา แม้จะดูเป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะอาจเป็นมากกว่าแค่อาการรบกวนชั่วคราว แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ถึงปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่การกดทับเส้นประสาทจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม การขาดวิตามิน ไปจนถึงโรคร้ายแรงอย่างโรคหลอดเลือดสมอง หรือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท การสังเกตลักษณะอาการของตนเอง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง และการบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ คือด่านแรกของการป้องกันที่ดีที่สุด
แต่หากอาการชายังคงอยู่ เป็นรุนแรงขึ้น หรือมีสัญญาณอันตรายอื่น ๆ ร่วมด้วย การรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาอย่างถูกต้อง คือหนทางที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาในระยะยาว
ข้อมูลโดย
ผศ. นพ.กุลพัชร จุลสําลี
ศัลยกรรมกระดูกและข้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










