เมื่อพูดถึงปัญหาผิวพรรณที่มากับวัย หลายคนอาจนึกถึงริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือผิวแห้งขาดน้ำ แต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่กวนใจไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเก๋า นั่นคือ “ฝ้า” จุดด่างดำที่ค่อย ๆ ปรากฏบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำและไม่สดใส หลายคนถึงกับเสียความมั่นใจ ไม่กล้าออกจากบ้านโดยไม่แต่งหน้า หรือรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมองกระจก
สิ่งสำคัญคือ ฝ้า ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยความงามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังตามวัย ฮอร์โมน และปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะการสะสมของแสงแดดที่ได้รับมาตลอดชีวิต หากไม่เข้าใจต้นตอที่แท้จริง อาจดูแลรักษาผิดวิธี ทำให้ฝ้าเข้มขึ้นหรือเกิดใหม่เรื่อย ๆ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ “ฝ้า” อย่างครบถ้วน ทั้งความหมายของฝ้า สาเหตุการเกิด ลักษณะอาการ ชนิดของฝ้า และวิธีการดูแลรักษาแบบเข้าใจง่าย พร้อมเคล็ดลับป้องกันฝ้าให้ผิวหน้าดูสดใส แม้กาลเวลาจะผ่านไป เพื่อให้ทุกคนในวัยเก๋ากลับมามีผิวที่มั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
ฝ้า คืออะไร
ฝ้า คือ ภาวะที่ผิวหนังเกิดจุดหรือจุดสีคล้ำบริเวณใบหน้า เกิดจากเม็ดสีเมลานินในผิวหนังที่ผลิตมากเกินไป มักมีลักษณะเป็นสีเทา น้ำตาล หรือดำ ปรากฏชัดเจนบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก ริมฝีปากบน และจมูก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้น และผู้ที่เผชิญแสงแดดเป็นประจำ
ฝ้าไม่ใช่โรคร้ายแรงหรืออันตรายต่อชีวิต แต่เป็นปัญหาความงามที่สร้างความกังวลใจได้ไม่น้อย บางรายอาจเข้าใจผิดว่าเป็นกระหรือจุดด่างดำทั่วไป จึงรักษาไม่ถูกวิธี ทำให้อาการยิ่งแย่ลง หากเริ่มเข้าใจฝ้าอย่างถูกต้อง ก็สามารถวางแผนดูแลผิวให้กลับมาสวยใสได้อีกครั้ง
สาเหตุของฝ้าในผู้สูงอายุ
สำหรับผู้สูงอายุ การเกิดฝ้ามักมีหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ได้เกิดจากแสงแดดเพียงอย่างเดียว ปัจจัยที่พบบ่อย ได้แก่
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เมื่ออายุมากขึ้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดลง ส่งผลต่อระบบเม็ดสีผิว ทำให้ฝ้าเกิดได้ง่ายขึ้น
- การสะสมของรังสียูวี การเผชิญแดดมาหลายปีสะสม ทำให้ผิวไวต่อการสร้างเม็ดสีผิดปกติ
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นฝ้า ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นตาม
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคไทรอยด์ หรือยาคุมกำเนิดที่เคยใช้ในวัยหนุ่มสาว
- การอักเสบของผิวหนัง การบีบสิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์ระคายเคือง อาจทำให้ผิวเกิดเม็ดสีผิดปกติ
เมื่อเข้าใจต้นเหตุแล้ว การเลือกวิธีดูแลและรักษาฝ้าจึงควรสอดคล้องกับปัจจัยเหล่านี้ เพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ลักษณะอาการฝ้าที่เกิดขึ้น
ฝ้ามีลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะและสังเกตได้ง่าย โดยมักแสดงออกเป็นแผ่นหรือจุดสีคล้ำที่มีขอบเขตชัดเจน พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ได้แก่ โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และริมฝีปากบน
สีของฝ้าอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน เทา จนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของเม็ดสีที่อยู่ในผิว โดยบางรายอาจมีฝ้าหลายประเภทในบริเวณเดียวกัน
ฝ้ามักไม่มีอาการอื่นร่วม เช่น อาการคัน แสบ หรือเจ็บ จึงแตกต่างจากผื่นหรืออาการแพ้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ฝ้าอาจทำให้หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อแต่งหน้าแล้วไม่สามารถปกปิดได้หมด หรือเมื่อฝ้าขยายวงกว้างมากขึ้น
ฝ้ามีกี่ชนิด
ฝ้าไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่แบ่งได้หลายชนิดตามลักษณะการเกิดและระดับความลึกของเม็ดสีในผิว ซึ่งการวินิจฉัยที่แม่นยำจะช่วยให้เลือกวิธีรักษาได้เหมาะสม
ฝ้าเลือด
ฝ้าเลือดเป็นฝ้าชนิดที่มีเส้นเลือดฝอยขยายตัวร่วมด้วย ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีอมชมพูหรือแดงปนกับสีคล้ำของฝ้า มักพบในคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือเคยใช้ครีมที่มีสารสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องจนผิวบาง
ฝ้าแดด
เป็นฝ้าที่เกิดจากการโดนรังสียูวีซ้ำ ๆ โดยไม่ป้องกัน ผิวจะค่อย ๆ สะสมเม็ดสีเข้มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแดดจัด เช่น แก้ม หน้าผาก และจมูก มักเกิดในผู้ที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยหรือไม่ได้ทาครีมกันแดด
ฝ้าตื้น
ฝ้าตื้นเป็นฝ้าที่เม็ดสีอยู่ในชั้นผิวหนังชั้นบน ทำให้รักษาได้ง่ายกว่าชนิดอื่น มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลชัดเจน และตอบสนองต่อการรักษาด้วยครีมไวท์เทนนิ่งหรือเลเซอร์ได้ดี
ฝ้าลึก
ฝ้าลึกเกิดจากเม็ดสีสะสมในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ฝ้ามีสีออกเทาหรือม่วงคล้ำ การรักษาทำได้ยากกว่า และมักใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล บางกรณีอาจต้องใช้เทคโนโลยีเลเซอร์เฉพาะทางร่วมด้วย
ฝ้าผสม
เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ มีทั้งส่วนที่เป็นฝ้าตื้นและฝ้าลึกผสมกัน ทำให้การรักษาต้องอาศัยความละเอียดและเทคนิคเฉพาะตัว เพื่อจัดการให้ครบทุกระดับของเม็ดสี
บริเวณที่มักเกิดฝ้า
ฝ้ามักปรากฏในบริเวณที่ได้รับแสงแดดโดยตรงบ่อย ๆ ได้แก่
- โหนกแก้ม
- หน้าผาก
- จมูก
- ริมฝีปากบน
- ขมับ
แต่บางรายอาจพบฝ้าในบริเวณอื่น เช่น คาง หรือแนวกราม หากไม่มีการป้องกันที่ดีพอ
วิธีการดูแลรักษาฝ้า
การรักษาฝ้าควรเริ่มจากการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินชนิดของฝ้าอย่างถูกต้อง แนวทางที่ใช้บ่อย ได้แก่
- ครีมบำรุงที่มีสารลดเม็ดสี เช่น Hydroquinone, Kojic acid, Niacinamide
- การผลัดเซลล์ผิว ด้วยกรดผลไม้ (AHA) หรือ Retinoids
- เลเซอร์หรือ IPL สำหรับฝ้าฝังลึก
- เวชสำอางสูตรอ่อนโยน ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
- ปรับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกวัน
การดูแลอย่างต่อเนื่องและไม่เร่งรัดจะช่วยให้ฝ้าค่อย ๆ จางลงอย่างปลอดภัย
วิธีป้องกันการเกิดฝ้า
การป้องกันดีกว่าการรักษาเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ผิวบอบบางมากขึ้น ควรดูแลผิวดังนี้
- ทาครีมกันแดดทุกวัน ควรเลือก SPF 30 ขึ้นไป และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- หลีกเลี่ยงแดดจัดช่วง 10.00-16.00 น.
- สวมหมวกหรือกางร่ม เมื่อออกนอกบ้าน
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน ลดการระคายเคืองที่อาจกระตุ้นเม็ดสี
- พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี อี และเบต้าแคโรทีน
ฝ้าแม้จะไม่ใช่ปัญหาที่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความกังวลใจให้กับผู้สูงอายุไม่น้อย การเข้าใจสาเหตุ ประเภท ลักษณะอาการ ตลอดจนวิธีดูแลรักษาและป้องกัน จะช่วยให้ผู้สูงวัยดูแลผิวได้อย่างถูกต้องและมีสุขภาพผิวที่ดีขึ้น ที่สำคัญอย่ามองข้ามการปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากฝ้าเริ่มลุกลามหรือรักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น เพราะการดูแลที่ถูกวิธีตั้งแต่แรกคือหัวใจของการมีผิวสวยใสอย่างยั่งยืนในวัยเก๋า
ข้อมูลจาก
ผศ. พญ.อรพิชญา ศรีวรรโณภาส
สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “ลัดคิวหมอ – #หน้าหมองเพราะฝ้า ปัญหาผิววัยเก๋า” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










