นิ่วในถุงน้ำดี คือ ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1-2 เท่า ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง ผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ธาลัสซีเมีย โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนทั่วไป
นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร
นิ่วในถุงน้ำดี (gallstones) คือ โรคที่เกิดจากการตกตะกอนของสารประกอบต่าง ๆ ในน้ำดี เมื่อตกตะกอนก็จะทำให้เกิดนิ่วขึ้นที่ถุงน้ำดี ผู้ป่วยอาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยเฉพาะเวลาทานอาหารประเภทไขมัน
นิ่วที่อยู่ในถุงน้ำดี เกิดจากการ
นิ่วที่อยู่ในถุงน้ำดี เกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) คอเลสเตอรอลและบิลิรูบิน (สารเคมีชนิดหนึ่งที่ให้สีเหลืองออกน้ำตาล เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด) ที่มีอยู่ในน้ำดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้เชื่อว่าเกิดจาก
- การติดเชื้อของทางเดินน้ำดี
- ความไม่สมดุลของส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี การตกผลึกของสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็ก ๆ หลาย ๆ ก้อนก็ได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดนิ่ว
- ความอ้วน : คนอ้วนจะเกิดนิ่วที่มีคอเลสเตอรอล เนื่องจากการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง
- ฮอร์โมนเอสโตร : การได้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการรับประทานหรือตั้งครรภ์ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
- ยาลดไขมัน : การได้ยาลดไขมันบางชนิดทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
- โรคประจำตัว : ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมาก ๆ
- น้ำหนักลดรวดเร็ว : การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากไป
ใครมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีบ้าง
นิ่ว ในถุงน้ำดี (gallstone) มักพบในกลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้มีโอกาสเกิดนิ่ว ในถุงน้ำดีมากกว่าคนทั่วไป โดยกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสสูง ได้แก่
- ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน
- ผู้ที่มีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
นิ่วในถุงน้ำดี อาการ
นิ่วในถุงน้ำดีอาจไม่แสดงอาการในบางราย แต่หากมีอาการ มักเป็นผลจากการอุดตันของท่อน้ำดีหรือการอักเสบในถุงน้ำดี
อาการระยะแรก
- ท้องเฟ้อบริเวณเหนือสะดือ
- เรอ
- คลื่นไส้
- อาเจียน
คล้ายอาการของอาหารไม่ย่อย ซึ่งมักเป็นหลังกินอาหารมัน ๆ ในรายที่ก้อนนิ่วเคลื่อนไปอุดในท่อส่งน้ำดี จะมีอาการปวดบิดรุนแรงเป็นพัก ๆ ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ซึ่งอาจปวดร้าวมาที่ไหล่ขวาหรือบริเวณหลังตรงใต้สะบักขวา มักปวดนานเป็นชั่วโมง ๆ และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
อาการรุนแรง
- ปวดรุนแรงจนเหงื่อออก
- เป็นลม
- ปวดท้องกินอาหารมันหรือกินอาหารมื้อหนัก
- มีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง) เกิดขึ้นตามหลังอาการปวดท้อง
การตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติ มักไม่มีไข้ บางครั้งอาจตรวจพบอาการกดเจ็บเล็กน้อยบริเวณใต้ลิ้นปี่และได้ชายโครงขวา
ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี แม้จะไม่แสดงอาการ อาจตรวจพบตอนไปตรวจรักษาโรคอื่น แพทย์จะแนะนำให้รับการผ่าตัด
เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจมีการอักเสบและมีโรคแทรกซ้อนตามมาก็ได้ที่สำคัญโรคนี้ป้องกันได้ด้วยการลดกินอาหารมีไขมัน และการออกกำลังกายเป็นประจำ
นิ่วในถุงน้ำดีเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้หญิง คนอายุมาก หรือคนที่มีน้ำหนักเกิน แม้จะไม่มีอาการในระยะแรก แต่หากเกิดอาการรุนแรงต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การป้องกันทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำหนัก และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การรับการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ไวขึ้น แม้ไม่มีอาการใด ๆ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีปัจจัยเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการป้องกันและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
สามารถรถรับชมวิดีโอเพื่อทำความรู้จักนิ่วในถุงน้ําดีเพิ่มเติมได้ที่นี่
ข้อมูลจาก
รศ. นพ.วิทย์ วิเศษสินธุ์
สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ