ท้องลม สัญญาณเตือนที่คุณแม่ต้องรู้
หน้าแรก
ท้องลม ไม่ใช่เรื่องเล็ก! สัญญาณเตือนที่คุณแม่ต้องจับตา

ท้องลม ไม่ใช่เรื่องเล็ก! สัญญาณเตือนที่คุณแม่ต้องจับตา

การตั้งครรภ์ คือ ความหวังอันยิ่งใหญ่ของหลายครอบครัว แต่บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวดี อาจแฝงด้วยภาวะเสี่ยงที่ต้องระวัง หนึ่งในนั้นคือ “ท้องลม” ที่มักไม่มีสัญญาณเตือนชัดเจน แต่สามารถส่งผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจของคุณแม่ได้อย่างมาก 

ท้องลมคืออะไร ?

ท้องลมคืออะไร

ท้องลม (blighted ovum) คือ ภาวะที่ผู้หญิงมีอาการเหมือนตั้งครรภ์ปกติ เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อาเจียน หรือประจำเดือนขาด แต่เมื่อตรวจด้วยอัลตราซาวนด์จะพบเพียงถุงการตั้งครรภ์ในมดลูก โดยไม่พบตัวอ่อน หรือในบางกรณี ตัวอ่อนอาจสลายไปตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์

ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกช่วงอายุ และไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง เพราะมักเกิดจากความผิดปกติทางธรรมชาติ เช่น ความผิดปกติของโครโมโซมหรือกระบวนการแบ่งเซลล์ในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในคุณแม่ที่มีอายุมาก โอกาสเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้น หากคุณกำลังวางแผนจะมีบุตร การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะท้องลม รวมถึงการติดตามสุขภาพครรภ์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

ท้องลมเกิดจากอะไร ?

ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของภาวะท้องลมได้อย่างชัดเจน แต่ในหลายกรณีพบว่า ประมาณ 45-50% ของผู้ที่มีภาวะนี้ เกิดจาก ความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อน ทำให้ตัวอ่อนไม่แข็งแรง ไม่สามารถพัฒนาเป็นทารกได้ตามปกติ และสลายตัวไปในระยะแรก เหลือไว้เพียงถุงการตั้งครรภ์ที่ยังคงอยู่ในมดลูก

เมื่อร่างกายรับรู้ว่าการตั้งครรภ์มีความผิดปกติ และไม่มีพัฒนาการของตัวอ่อน ระบบภายในจะเริ่มทำการขับเลือดและเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ออกมา ส่งผลให้ผู้ตั้งครรภ์มีอาการเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ

อาการนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากคุณแม่พบว่าเลือดออกผิดปกติในช่วงตั้งครรภ์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด และรับการดูแลอย่างเหมาะสม

ทำไมท้องลมถึงมีผลตรวจการตั้งครรภ์เป็นบวก ?

หลายคนอาจสงสัยว่า “ในเมื่อไม่มีตัวอ่อนอยู่ในมดลูก ทำไมผลตรวจตั้งครรภ์ถึงยังขึ้นเป็นบวก ?” คำตอบคือ เพราะร่างกายยังคงผลิตฮอร์โมน HCG (human chorionic gonadotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่แสดงถึงการตั้งครรภ์ และตรวจพบได้ทั้งในปัสสาวะและเลือด

โดยปกติแล้วหลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิกับอสุจิและฝังตัวที่ผนังมดลูก ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมน HCG จากรก ซึ่งเริ่มตรวจพบได้ตั้งแต่ประมาณ 6 วันหลังการฝังตัว แม้จะไม่มีการพัฒนาของตัวอ่อน ฮอร์โมนนี้ก็ยังคงถูกผลิตอยู่ในช่วงแรก จึงทำให้การตรวจด้วยชุดทดสอบปัสสาวะหรือการตรวจเลือดยังคงแสดงผล “สองขีด” หรือผลบวกเช่นเดียวกับการตั้งครรภ์ปกติ

อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ จะพบเพียงถุงการตั้งครรภ์ในมดลูก แต่ไม่พบตัวอ่อนภายใน ซึ่งเป็นจุดสังเกตสำคัญที่ช่วยวินิจฉัยภาวะท้องลมได้อย่างชัดเจน

ท้องลม อาการเป็นอย่างไร

อาการของท้องลมในช่วงแรกมักคล้ายกับการตั้งครรภ์ปกติ เช่น

  • ประจำเดือนขาด
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เจ็บหน้าอก
  • อ่อนเพลีย

แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 6–10 ของการตั้งครรภ์ อาการเหล่านี้อาจหายไป หรืออาจมีอาการผิดปกติ เช่น

  • มีเลือดออกกะปริดกะปรอย
  • ปวดท้องหน่วง ๆ คล้ายปวดประจำเดือน
  • ไม่รู้สึกว่าท้องโตขึ้น

การทำอัลตราซาวนด์จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยยืนยันว่ามีทารกอยู่หรือไม่ และควรได้รับการตรวจจากแพทย์ทันทีเมื่อสงสัยว่าตั้งครรภ์

วิธีการป้องกันการภาวะท้องลม

แม้ท้องลมจะเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ควบคุมไม่ได้ แต่คุณแม่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้ดีที่สุดก่อนตั้งครรภ์ ดังนี้

  • วางแผนการตั้งครรภ์ร่วมกับแพทย์
  • ตรวจสุขภาพก่อนมีบุตร รวมถึงตรวจโครโมโซม
  • หลีกเลี่ยงสารเสพติดและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • กินโฟเลต และวิตามินก่อนตั้งครรภ์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด

การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สภาพร่างกายพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์

ท้องลมเป็นแล้วกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม ?

คำตอบคือ สามารถเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมาก โอกาสของการเกิดภาวะท้องลมจะยิ่งเพิ่มขึ้นตามอายุ อย่างไรก็ตาม หากเกิดภาวะท้องลมบ่อยครั้ง อาจไม่ใช่แค่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นแบบสุ่มตามธรรมชาติเท่านั้น แต่อาจมีปัจจัยแฝงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของคู่สมรส

กรณีที่คุณแม่มีประวัติท้องลมตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป แพทย์จะพิจารณาให้ทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น ตรวจโครโมโซมของทั้งพ่อและแม่ รวมถึงการตรวจสุขภาพระบบสืบพันธุ์อย่างละเอียด เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนดูแลการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไปได้อย่างเหมาะสม

ท้องลม ต้องขูดมดลูกหรือไม่ ?

ท้องลม ต้องขูดมดลูกหรือไม่

การรักษาภาวะท้องลม ไม่ได้จำเป็นต้องขูดมดลูกในทุกกรณี ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณีหลัก ๆ ดังนี้

  1. หากถุงการตั้งครรภ์สามารถหลุดออกจากมดลูกได้เองอย่างสมบูรณ์ และไม่มีอาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกมากหรือมีไข้สูง แพทย์อาจพิจารณาให้ร่างกายขับเนื้อเยื่อออกเองตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องขูดมดลูก
  2. ในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถขับถุงการตั้งครรภ์ออกมาได้หมด หรือมีเยื่อบุโพรงมดลูกตกค้าง แพทย์จะพิจารณาให้ทำการ ขูดมดลูก เพื่อเอาเยื่อบุหรือชิ้นเนื้อที่ตกค้างออกให้หมด ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและช่วยให้มดลูกกลับเข้าสู่สภาพปกติเร็วขึ้น

ภาวะท้องลมเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนและเจ็บปวดให้กับคุณแม่มือใหม่ไม่น้อย แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่การดูแลสุขภาพ วางแผนก่อนตั้งครรภ์ และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้มาก หากสงสัยว่าตัวเองมีความผิดปกติในช่วงตั้งครรภ์แรก ๆ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอัลตราซาวนด์โดยเร็ว


ข้อมูลจาก

อ. พญ.สิริลักษณ์ ตันธนาวิภาส
สาขาวิชาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

ก้อนที่คอ ใช่ไทรอยด์หรือไม่ เช็กให้ชัวร์
พบก้อนที่คอ อย่าชะล่าใจ อาจเป็นต่อมไทรอยด์โต ซีสต์ หรือก้อนเนื้ออื่น ๆ ตรวจให้ชัวร์เพื่อวางแผนรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัย
บทความสุขภาพ
26-07-2025

2

สะโพกเสื่อม ป้องกันอย่างไร
สะโพกเสื่อมทำให้ปวดสะโพก เดินลำบาก และกระทบการใช้ชีวิต รู้วิธีป้องกันด้วยการปรับพฤติกรรม ออกกำลังกาย และดูแลน้ำหนักให้เหมาะสม
บทความสุขภาพ
21-07-2025

4

รู้ก่อน รับมือได้…กับอาการปวดข้อศอก
อาการปวดข้อศอกอาจเกิดจากการใช้งานซ้ำซาก หรือโรคข้ออักเสบ หากปล่อยไว้เรื้อรังอาจกระทบการใช้งานแขน รู้ทันสาเหตุและแนวทางดูแลอย่างถูกต้อง
บทความสุขภาพ
14-07-2025

8

ปวดเข่าและข้อเข่าเสื่อม
ปวดเข่าและข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาพบบ่อยในผู้สูงอายุ ส่งผลต่อการเดินและใช้ชีวิตประจำวัน รู้วิธีดูแล ป้องกัน และบรรเทาอาการอย่างถูกต้อง
บทความสุขภาพ
07-07-2025

17

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL