ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็น โรคกระดูกพรุน
หน้าแรก
ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็น โรคกระดูกพรุน

ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็น โรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุน คือภัยเงียบที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้าสู่ชีวิตของผู้สูงวัยโดยที่หลายคนไม่รู้ตัว เป็นภาวะที่กระดูกบางลงจนเปราะหักง่าย แม้หกล้มหรือกระแทกเบา ๆ ก็สามารถทำให้กระดูกหักได้โดยไม่ทันตั้งตัว ปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือนและผู้สูงอายุ แต่สามารถป้องกันและชะลอได้หากรู้เท่าทันตั้งแต่เนิ่น ๆ บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจโรคกระดูกพรุนให้ครบทุกแง่มุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ความเสี่ยง วิธีป้องกัน ตลอดจนการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณใช้ชีวิตในวัยเก๋าได้อย่างแข็งแรงและมั่นใจ

โรคกระดูกพรุน คืออะไร

โรคกระดูกพรุน คืออะไร

โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) เป็นภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นและมวลลดลง ทำให้โครงสร้างภายในของกระดูกเปราะบางและแตกหักง่าย แม้จะได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย เช่น การหกล้มธรรมดา หรือการกระแทกจากอุบัติเหตุเพียงเบา ๆ โดยกระดูกส่วนที่พบว่าแตกหักได้บ่อยได้แก่ กระดูกบริเวณสะโพก ข้อมือ และกระดูกสันหลัง

กระดูกเป็นอวัยวะมนุษย์ที่ตามปรกติจะมีการสร้างและสลายอยู่ตลอดเวลา โดยมีเซลล์ออสติโอบลาสต์ (osteoblast) ทำหน้าที่สร้างกระดูกใหม่ และเซลล์ออสติโอคลาสต์ (osteoclast) ทำหน้าที่ย่อยสลายกระดูกเก่าอย่างสมดุล ทำให้กระดูกใหม่และแข็งแรงอยู่เสมอ แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมนเพศลดลง การขาดแคลเซียม หรือการใช้ยาบางชนิด การสลายกระดูกจะมากกว่าการสร้าง ทำให้กระดูกบางลงและเสี่ยงต่อการหัก

โรคกระดูกพรุนมักไม่มีอาการแสดงในระยะแรก จึงนับว่าเป็น “ภัยเงียบ” อย่างหนึ่ง ผู้ป่วยมักจะทราบเมื่อเกิดกระดูกหักหรือมีอาการปวดหลังเรื้อรัง และได้รับการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density: BMD) โดย ค่า T-score ที่ใช้บ่งชี้โรคกระดูกพรุน คือ น้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5

อาการโรคกระดูกพรุน เป็นอย่างไร

โรคกระดูกพรุนในระยะแรกอาจไม่มีอาการใด ๆ ให้เห็นชัดเจน จนกระทั่งเกิดกระดูกหัก ซึ่งมักเกิดจากแรงกระแทกเบา ๆ ที่ไม่ควรทำให้กระดูกหักในคนทั่วไป อาการที่อาจพบ ได้แก่

  • กระดูกหักง่าย กระดูกหักจากแรงกระแทกเล็กน้อย เช่น การหกล้มเบา ๆ 
  • ปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดจากกระดูกสันหลังยุบตัวหรือหัก
  • ความสูงลดลง เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัว ทำให้ความสูงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • หลังค่อม กระดูกสันหลังยุบตัวทำให้แนวกระดูกเปลี่ยนแปลงโค้งตัวไปด้านหน้ามากขึ้น

ประเภทของโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนชนิดปฐมภูมิ (primary osteoporosis)

  • โรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน เกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนหลังหมดประจำเดือน ซึ่งฮอร์โมนนี้มีบทบาทในการรักษาความหนาแน่นของกระดูก การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงทำให้การสลายกระดูกเพิ่มขึ้น
  • โรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ เกิดจากความเสื่อมตามอายุที่มีการสะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยาวนานของการเสียสมดุลระหว่างการสร้างและการสลายของกระดูก มักจะพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

โรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ (secondary osteoporosis)

  • เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อกระดูก เช่น 
    • โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง
    • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านชัก
    • ภาวะขาดสารอาหาร เช่น ขาดแคลเซียม วิตามินดี 
    • การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป
    • ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม

สาเหตุของโรคกระดูกพรุน คืออะไร

โรคกระดูกพรุนสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งทางร่างกายและพฤติกรรม ดังนี้

  • อายุ เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างกระดูกจะลดลง ในขณะที่การสลายกระดูกยังคงดำเนินต่อไป ทำให้มวลกระดูกลดลง
  • เพศ ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากมวลกระดูกเริ่มต้นต่ำกว่า และการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนหลังหมดประจำเดือน
  • พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย และกินอาหารที่ขาดแคลเซียมและวิตามินดี
  • ใช้ยาบางชนิด เช่น การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาวสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้

วิธีการป้องกันโรคกระดูกพรุน

แม้โรคกระดูกพรุนจะสัมพันธ์กับอายุ แต่ลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี เช่น

  • กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต ผักใบเขียว เต้าหู้ ปลาตัวเล็กกินได้ทั้งกระดูก งาดำ ถั่วเหลือง โดยปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวันอย่างน้อย เท่ากับ 1,000–1,200 มก.
  • รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ โดยการออกแดดช่วงเช้า และ การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี เช่น นมวัว เนย น้ำมันตับปลา เห็ดหอม เนื้อปลาแซลมอนในธรรมชาติ โดยปริมาณวิตามินดีที่แนะนำอย่างน้อย เท่ากับ 800–1,000 IU/วัน
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเดินเร็ว วิ่งเหยาะ ยกน้ำหนักเบา ๆ หรือการเต้นแอโรบิก
  • งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ตรวจมวลกระดูกตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีความสูงลดลง 4 ซม. ขึ้นไป

อาการแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนอาจดูไม่น่ากลัว แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ได้แก่

  • กระดูกสันหลังยุบตัว หลังโก่ง หลังค่อม
  • กระดูกสะโพกหักง่าย
  • คุณภาพชีวิตลดลง ช่วยเหลือตัวเองลำบาก
  • แผลกดทับ (กรณีผู้ป่วยติดเตียง)

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้ว สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ได้แก่

  • รับยาตามแพทย์สั่ง อย่างเคร่งครัด เพื่อชะลอการสูญเสียมวลกระดูก โดยต้องได้รับการประเมินและสั่งโดยแพทย์ ไม่ควรซื้อเอง
  • เสริมแคลเซียมและวิตามินดี จากอาหารและอาหารเสริม และออกกำลังกายรับแสงแดด
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หลีกเลี่ยงการหกล้ม เช่น ติดราวจับในห้องน้ำ จัดบ้านให้โล่ง ลดสิ่งกีดขวาง, ใช้ไฟส่องสว่างเพียงพอ, ใช้รองเท้าที่ยึดเกาะพื้นได้ดี
  • ออกกำลังกายและฝึกการทรงตัวที่เหมาะสม เช่น เดินช้า โยคะ เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • ตรวจติดตามมวลกระดูกเป็นระยะตามคำแนะนำแพทย์

การมีวินัยในการดูแลสุขภาพ ช่วยให้ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และลดความเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อน

โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้สูงอายุ แต่หากรู้เร็ว ป้องกันเร็ว และดูแลอย่างเหมาะสม ก็สามารถชะลอการสูญเสียมวลกระดูกและลดโอกาสกระดูกหักได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอให้กระดูกหักก่อนถึงเริ่มรักษา มาใส่ใจสุขภาพกระดูกตั้งแต่วันนี้ เพื่อวัยเก๋าที่ยืนยาวและมีความสุขไปอีกนาน

 

ข้อมูลโดย

รศ. นพ.สรวุฒิ ธรรมยงค์กิจ
ศัลยกรรมกระดูกและข้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

คลิกชมคลิปรายการ โรคกระดูกพรุนเรื่องน่ากลัวสำหรับรุ่นใหญ่ ชะลอได้ ถ้ารู้ทัน พบหมอรามาฯ 10/03/66 | by RAMA Channel ได้ที่นี่

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

เจ็บส้นเท้าทุกครั้งที่ลุกเดินระวัง โรครองช้ำ
เจ็บส้นเท้าเวลาลุกเดินอาจเป็นสัญญาณโรครองช้ำ ภัยเงียบของคนที่ใช้เท้าหนักหรือยืนนาน หากละเลยอาจปวดเรื้อรัง รู้ทันอาการและวิธีป้องกัน
บทความสุขภาพ
25-09-2025

1

กินเห็ดหน้าฝน ระวัง! เห็ดพิษตัวร้าย แค่คำเดียวอาจถึงชีวิต
การกินเห็ดในหน้าฝนเสี่ยงอันตรายจากเห็ดพิษที่แยกยากจากเห็ดกินได้ เพียงคำเดียวอาจทำลายตับ ไต หรือถึงชีวิต ควรรู้จักวิธีเลือกและหลีกเลี่ยง
บทความสุขภาพ
24-09-2025

2

ข้อเท้าตก กระดกไม่ขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องข้อเท้า แต่สะดุด กระทบทุกจังหวะชีวิต
ข้อเท้าตกหรืออาการกระดกข้อเท้าไม่ขึ้น ไม่ใช่เพียงปัญหาข้อเท้า แต่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ หากไม่รักษาอาจสะดุดล้มบ่อย
บทความสุขภาพ
23-09-2025

2

RSV โรคฮิตในเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องรู้
RSV เป็นไวรัสที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ทำให้มีอาการไอ มีน้ำมูก หายใจลำบาก และเสี่ยงปอดอักเสบ พ่อแม่ควรรู้วิธีป้องกัน สังเกตอาการ และรีบพบแพทย์
บทความสุขภาพ
22-09-2025

2

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL