เมื่อสายฝนโปรยปราย ความชุ่มชื้นของผืนดินได้ปลุกชีวิตให้กับเหล่าเห็ดนานาชนิดผุดขึ้นมาอวดโฉมตามธรรมชาติ กลิ่นอายของฤดูฝนทำให้หลายคนนึกถึงเมนูอาหารรสเลิศจากเห็ด ไม่ว่าจะเป็นแกงเห็ดร้อน ๆ หรือเห็ดผัดน้ำมันหอย แต่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์นี้มีภัยเงียบซ่อนอยู่ นั่นคือ “เห็ดพิษ” ซึ่งมักมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเห็ดที่กินได้จนแทบแยกไม่ออก การแยกแยะได้ยากและความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดคิด บทความนี้จึงมุ่งให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับชนิด อาการ และวิธีปฏิบัติตนที่ถูกต้อง เพื่อให้ทุกคนสามารถมีความสุขกับฤดูเห็ดได้อย่างปลอดภัย
เห็ดพิษ คืออะไร ?
เห็ดพิษ (Poisonous Mushrooms) คือเห็ดที่มีสารพิษหรือสารที่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเมื่อกินเข้าไป อาจเกิดอาการตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ไปจนถึงอาการรุนแรงที่ทำลายตับ ไต หรือระบบประสาท เห็ดพิษมักอาจมีหน้าตาคล้ายกับเห็ดที่กินได้ อีกทั้งยังมีชื่อเรียกท้องถิ่นที่อาจทำให้เข้าใจผิดหรือสับสนระหว่างเห็ดพิษกับเห็ดกินได้ ทำให้คนส่วนใหญ่แยกแยะได้ยากโดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการเก็บเห็ด สารพิษในเห็ดแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป บางชนิดแค่ลิ้มลองคำเดียวก็ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ในขณะที่บางชนิดอาจทำให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อย
ชนิดของเห็ดพิษในไทย มีอะไรบ้าง ?
การจำแนกเห็ดพิษด้วยสายตาเป็นเรื่องที่เสี่ยงและไม่แน่นอน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจกลุ่มของพิษและอาการแสดงที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็ดพิษที่พบบ่อยในประเทศไทยสามารถแบ่งตามลักษณะการเกิดพิษได้ 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
กลุ่มที่ 1 พิษร้ายทำลายตับ (แสดงอาการช้า แต่รุนแรงที่สุด)
กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด เนื่องจากสารพิษ “อะมาทอกซิน” (Amatoxin) จะไม่แสดงผลในทันที หลังกินเข้าไป ผู้ป่วยจะรู้สึกปกติดีเป็นเวลา 6-24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่สารพิษกำลังเดินทางเข้าสู่กระแสเลือดและเริ่มทำลายเซลล์ตับอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงอย่างรุนแรง เมื่ออาการทางเดินอาหารทุเลาลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว แต่แท้จริงแล้วตับกำลังถูกทำลายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ภาวะตับวายเฉียบพลัน ตัวเหลือง ตาเหลือง และอาจเสียชีวิตได้ภายใน 4-7 วัน
- เห็ดตัวอย่างในกลุ่มนี้ได้แก่ เห็ดระโงกหิน เห็ดไข่ตายซาก เห็ดไข่ห่าน
กลุ่มที่ 2 พิษทำลายกล้ามเนื้อและไต
พิษจากเห็ดกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ค่อนข้างเร็วภายใน 2-6 ชั่วโมงหลังกิน เริ่มต้นด้วยอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย จากนั้นจะตามมาด้วยอาการที่จำเพาะเจาะจงคือ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงทั่วร่างกาย และมีสัญญาณเตือนที่สำคัญที่สุดคือ ปัสสาวะจะเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัดเหมือนสีน้ำปลาหรือสีโคล่า ซึ่งเกิดจากภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis) ทำให้สารไมโอโกลบิน (Myoglobin) จากเซลล์กล้ามเนื้อที่ถูกทำลายรั่วออกมาในปัสสาวะ สารนี้เป็นพิษต่อไตโดยตรงและอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน นอกจากนี้ การสลายของกล้ามเนื้อยังทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและหยุดเต้นได้
- เห็ดตัวอย่างในกลุ่มนี้ได้แก่ เห็ดเหลืองนกขมิ้น
กลุ่มที่ 3 พิษต่อระบบทางเดินอาหาร
เป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดและแสดงอาการเร็วที่สุด โดยทั่วไปจะเกิดอาการภายใน 30 นาทีถึง 3 ชั่วโมงหลังกิน สารพิษจะออกฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้โดยตรง ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องร่วงอย่างรุนแรง แม้พิษกลุ่มนี้จะไม่ทำลายอวัยวะภายในระบบอื่น แต่การสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็วและรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ช็อกจากการเสียน้ำ ความดันโลหิตตก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว
- เห็ดตัวอย่างในกลุ่มนี้ได้แก่ เห็ดแดงน้ำหมาก เห็ดหัวกรวดครีบเขียว
สามกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พบบ่อยในประเทศไทย ยังมีเห็ดพิษที่ส่งผลลักษณะอื่นๆเช่น ผลต่อระบบประสาท หลอนปนะสารท หรือทำให้ชักได้
เผลอกินเห็ดพิษเข้าไป ต้องทำอย่างไร ?
หากสงสัยว่ากินเห็ดพิษเข้าไป ให้รีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด โดยปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
- ห้ามกินยาหยุดถ่ายหรือยาแก้ท้องเสียเด็ดขาด เพราะการถ่ายท้องเป็นการช่วยขับพิษออกจากร่างกาย การหยุดถ่ายจะทำให้พิษอยู่ในร่างกายนานขึ้นและถูกดูดซึมมากขึ้น
- เก็บตัวอย่างเห็ดที่กิน หากมีเห็ดที่เหลือจากการปรุงอาหาร ให้เก็บใส่ภาชนะสะอาดนำไปให้แพทย์ด้วย หรือหากไม่มีตัวอย่างเห็ดเหลือ ให้ถ่ายภาพ หรือเก็บตัวอย่างอาเจียนของผู้ป่วย เพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยชนิดของพิษและวางแผนการรักษาได้แม่นยำขึ้น
- รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที พร้อมให้ข้อมูลกับแพทย์อย่างละเอียด ทั้งชนิดของเห็ดที่กิน หากทราบเวลาที่กิน เวลาที่เริ่มเกิดอาการ และลักษณะอาการทั้งหมด
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเห็ดพิษที่ต้องหยุดแชร์ !
ความเชื่อที่บอกต่อกันมาหลายอย่างไม่สามารถใช้พิสูจน์เห็ดพิษได้จริงและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
- เห็ดพิษต้มกับช้อนเงินหรือข้าวสารแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ?
- ความจริง : สารพิษในเห็ดส่วนใหญ่ไม่ใช่สารประกอบซัลเฟอร์ จึงไม่ทำปฏิกิริยากับเงิน และไม่ส่งผลต่อการสุกของข้าว
- เห็ดที่มีรอยแมลงหรือสัตว์กัดแทะแสดงว่าปลอดภัย ?
- ความจริง : ระบบการย่อยของสัตว์และแมลงแตกต่างจากมนุษย์ สารพิษบางชนิดอาจไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ แต่เป็นพิษร้ายแรงต่อคน
- เห็ดสีขาวหรือสีสันไม่ฉูดฉาดคือเห็ดที่ปลอดภัย ?
- ความจริง : เป็นความเชื่อที่อันตรายมาก เพราะเห็ดพิษที่ร้ายแรงที่สุดอย่าง “เห็ดระโงกหิน” มีลักษณะเป็นสีขาวล้วน ดูสะอาดน่ากิน
- การนำเห็ดพิษไปต้มหรือทำให้สุกจะทำลายพิษได้ ?
- ความจริง : สารพิษในเห็ดส่วนใหญ่ทนความร้อนได้สูงมาก การปรุงอาหารด้วยวิธีปกติไม่สามารถทำลายพิษให้หมดไปได้
อร่อยกับเห็ดอย่างปลอดภัย ทำได้อย่างไร ?
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอันตรายจากเห็ดพิษ คือการยึดหลักความปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ
- “ไม่รู้จัก ไม่แน่ใจ ห้ามเก็บ ห้ามกิน” ควรกินเฉพาะเห็ดที่รู้จักและแน่ใจ 100% เท่านั้น
- เลือกซื้อเห็ดจากแหล่งเพาะปลูกที่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดสดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีการระบุชนิดและแหล่งที่มาอย่างชัดเจน
- หลีกเลี่ยงการเก็บเห็ดป่า หรือเห็ดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมากินโดยเด็ดขาด
- ให้ความรู้แก่คนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุเกี่ยวกับอันตรายของเห็ดพิษ
การกินเห็ดในหน้าฝนอาจดูเป็นกิจกรรมที่สนุกและได้ลิ้มรสของอร่อยจากธรรมชาติ แต่ต้องไม่ลืมว่า “เห็ดพิษ” แฝงตัวอยู่กับเห็ดกินได้เสมอ และบางชนิดรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจากการกินแค่คำเดียว ไม่มีวิธีสังเกตที่แน่นอนว่าจะปลอดภัยหรือไม่ ทางที่ดีควรกินเฉพาะเห็ดที่รู้จักแน่ชัดเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการเก็บเห็ดป่าด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญ สำหรับใครที่มีอาการผิดปกติหลังกินเห็ด ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
ข้อมูลโดย
รศ. นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ
สาขาวิชาเภสัชวิทยาและพิษวิทยาคลินิก ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ