กลิ่นปาก ไม่ใช่แค่ปัญหาเล็ก ๆ ที่สร้างความไม่มั่นใจในการพูดคุยหรือเข้าสังคม แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพที่หลายคนมองข้าม หลายครั้งเรามักไม่รู้ตัวว่ามีกลิ่นปาก แต่กลับสัมผัสได้จากปฏิกิริยาของคนรอบข้าง บางคนพยายามดับกลิ่นด้วยลูกอม น้ำยาบ้วนปาก หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง แต่กลิ่นปากเรื้อรังก็ยังไม่หายขาด เพราะแท้จริงแล้วสาเหตุของกลิ่นปากมีหลายอย่างและอาจซับซ้อนกว่าที่คิด
บทความนี้จะพาไปสำรวจต้นตอของกลิ่นปากเรื้อรัง พฤติกรรมเสี่ยง สัญญาณโรคที่ควรระวัง พร้อมวิธีดูแลและจัดการอย่างตรงจุด เพื่อให้คุณกลับมามั่นใจในทุกลมหายใจ
กลิ่นปาก เกิดจากอะไร
กลิ่นปากเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ปัญหาภายนอกช่องปาก และปัญหาภายในช่องปาก ส่วนใหญ่มักเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก โดยแบคทีเรียเหล่านี้จะย่อยเศษอาหารทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหารและมีกลิ่นเหม็น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น อาหารที่กิน พฤติกรรมการใช้ชีวิต โรค หรือภาวะต่าง ๆ ของร่างกาย รวมไปถึงสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี การแปรงฟันไม่สะอาด หรือไม่ใช้ไหมขัดฟัน
กลิ่นปาก ที่เกิดจากปัญหาภายนอกช่องปาก
กลิ่นปากไม่ได้เกิดจากปัญหาในช่องปากเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสาเหตุมาจากภายนอกช่องปาก ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขภาพโดยรวม ดังนี้
- อาหารและเครื่องดื่มที่มีกลิ่นแรง การบริโภคอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม หรือเครื่องเทศบางชนิด สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เนื่องจากสารประกอบที่มีกลิ่นแรงในอาหารเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและถูกขับออกทางลมหายใจผ่านปอด
- การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ไม่ได้แค่ทำให้มีกลิ่นปากเท่านั้น แต่ยังทำให้ปากแห้งและลดการผลิตน้ำลาย ส่งผลให้แบคทีเรียเติบโตได้ดีขึ้น จึงยิ่งเพิ่มโอกาสการเกิดกลิ่นปาก นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเหงือกรุนแรงกว่าคนที่ไม่สูบ และมักมาคู่กับการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหากลิ่นปากและสุขภาพช่องปากให้แย่ลงไปอีก
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สามารถทำให้ปากแห้งและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกลิ่นปากได้เช่นกัน นอกจากนี้หากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มีการผสมน้ำหวานก็ทำให้ฟันผุ และผู้ที่ดื่มจนมึนเมามักไม่แปรงฟันแต่นอนไปเลย มีผลทำให้ฟันผุและเกิดกลิ่นปาก
- ภาวะปากแห้ง น้ำลายมีบทบาทสำคัญในการชะล้างเศษอาหารและควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก แต่เมื่อร่างกายผลิตน้ำลายน้อยลง ไม่ว่าจะเกิดจากการใช้ยาบางชนิดหรือภาวะสุขภาพบางอย่าง จะทำให้ปากแห้งง่ายขึ้น ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดกลิ่นปาก ฟันผุ และโรคเหงือกรุนแรงกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะปากแห้ง
- โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หรือการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เนื่องจากมีการสะสมของเมือก หนองในโพรงไซนัสหรือทอนซิล ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย
- โรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะอาหาร สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เนื่องจากกรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาถึงหลอดอาหารและปาก ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้การที่กรดไหลย้อนขึ้นมาตามทางเดินอาหาร กรดจะกัดกร่อนเนื้อเยื่อทางเดินอาหารให้เกิดแผลหรือเกิดความเสียหาย บริเวณแผลนี้เชื้อแบคทีเรียมักจะไปสะสมอยู่เกิดการหมักหมมการย่อยสลายเศษอาหารทำให้เกิดกลิ่นปาก
กลิ่นปาก ที่เกิดจากปัญหาภายในช่องปาก
กลิ่นปากที่เกิดจากปัญหาภายในช่องปากเป็นสาเหตุหลักที่พบได้บ่อย โดยมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้
- ฟันผุและคราบจุลินทรีย์ ฟันผุที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและเศษอาหาร ซึ่งแบคทีเรียจะย่อยสลายเศษอาหารเหล่านี้และปล่อยก๊าซที่มีกลิ่นเหม็นออกมา หากฟันผุลึกไปถึงโพรงประสาทฟัน จะทำให้โพรงประสาทฟันติดเชื้อเป็นหนองได้ จะเกิดกลิ่นปากรุนแรง
- โรคเหงือก การอักเสบของเหงือกและเนื้อเยื่อรอบฟันทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก ซึ่งเป็นที่สะสมของแบคทีเรียและเศษอาหาร ส่งผลให้เกิดกลิ่นปาก
- คราบแบคทีเรียบนลิ้น ลิ้นเป็นพื้นที่ที่แบคทีเรียสามารถสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณโคนลิ้น หากไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นแหล่งกำเนิดกลิ่นปาก
- ฟันปลอมและเครื่องมือจัดฟันที่ไม่สะอาด การดูแลรักษาฟันปลอมและเครื่องมือจัดฟันไม่ดีพอ ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและเศษอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก
- แผลในช่องปาก แผลร้อนในหรือแผลที่เกิดจากการบาดเจ็บในช่องปาก หากมีการติดเชื้อหรือไม่หายขาด ก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและทำให้เกิดกลิ่นปาก
กลิ่นปาก เป็นสัญญาณเตือนโรคอะไรบ้าง
กลิ่นปากเรื้อรังไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย หากคุณดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีแล้ว แต่กลิ่นปากยังคงอยู่ ควรพิจารณาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะต่าง ๆ ดังนี้
1. โรคระบบทางเดินหายใจ
การติดเชื้อหรือการอักเสบในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เนื่องจากการสะสมของเมือกหรือหนองในบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ โรคปอดเรื้อรัง เช่น วัณโรคปอด มะเร็งปอด ก็อาจทำให้ลมหายใจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้เช่นกัน
2. โรคระบบทางเดินอาหาร
ภาวะกรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะอาหาร สามารถทำให้กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาถึงหลอดอาหารและปาก ส่งผลให้เกิดกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์
3. โรคเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจเกิดภาวะคีโตอะซิโดซิส (Ketosis) ซึ่งทำให้ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ หรือกลิ่นคล้ายสารเคมี เช่น น้ำยาล้างเล็บ กลิ่นลมหายใจลักษณะนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญของภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ในผู้ป่วยเบาหวาน
4. โรคไตและโรคตับ
โรคไตเรื้อรังอาจทำให้ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายแอมโมเนีย หรือกลิ่นคาว เนื่องจากการสะสมของของเสียในร่างกายที่ไตไม่สามารถขับออกได้ตามปกติ
5. โรคมะเร็งในช่องปากและลำคอ
แผลเรื้อรังในช่องปาก หรือเนื้องอกในบริเวณช่องปากและลำคอ อาจทำให้เกิดกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์ หากมีแผลที่ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ ลุกลามมากขึ้น หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น เจ็บคอเรื้อรัง เสียงแหบ กลืนลำบาก ควรปรึกษาแพทย์ทันที
พฤติกรรมอะไรทำให้มีกลิ่นปาก
หลายพฤติกรรมที่เราอาจมองข้าม มีส่วนสำคัญที่ทำให้มีกลิ่นปาก เช่น
- ละเลยการแปรงฟันหรือไม่ใช้ไหมขัดฟัน ทำให้เศษอาหารตกค้างในปาก
- ไม่แปรงลิ้น ลิ้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย
- ดื่มน้ำน้อย น้ำลายน้อยทำให้แบคทีเรียสะสม
- สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สารเหล่านี้ทำให้ปากแห้งและเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรีย
- กินอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม
วิธีแก้กลิ่นปากและการดูแล
- แปรงฟันและทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธี การแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังอาหารและก่อนนอน เป็นสิ่งสำคัญ ควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่มและเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือน นอกจากนี้ ควรแปรงลิ้นหรือใช้ที่ขูดลิ้นช่วยขจัดคราบแบคทีเรียที่สะสมบนลิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของกลิ่นปาก
- ใช้ไหมขัดฟันและน้ำยาบ้วนปาก เศษอาหารที่ติดอยู่ระหว่างซอกฟันเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย การใช้ไหมขัดฟันช่วยขจัดเศษอาหารเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรียสามารถช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในช่องปากและลดกลิ่นปากได้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 7-8 แก้วช่วยให้ปากชุ่มชื้นและกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งน้ำลายมีบทบาทในการชะล้างแบคทีเรียและเศษอาหารในช่องปาก
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม ของหมักดอง เนื่องจากมีสารประกอบที่สามารถทำให้ลมหายใจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หากต้องการลดกลิ่นปาก ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการกินอาหารเหล่านี้
- เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่เพียงแต่ทำให้ปากแห้ง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกและฟันผุ
- ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ การพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาปัญหาต่าง ๆ เช่น ฟันผุ โรคเหงือก ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นปากในระยะยาว
- ใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์ ฟลูออไรด์ช่วย เสริมความแข็งแรงให้ฟัน ป้องกันฟันผุ และลดการก่อตัวของคราบแบคทีเรีย การใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมฟลูออไรด์เป็นประจำ จะช่วยทั้งลดปัญหาฟันผุและป้องกันกลิ่นปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลิ่นปากเรื้อรัง เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ หากรู้จักสังเกตตัวเองและดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ อย่ามองข้ามสัญญาณผิดปกติที่อาจเป็นโรคซ่อนเร้น หากแก้ไขพฤติกรรมเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาทางรักษาให้ตรงจุด
ข้อมูลโดย
ทพ.ภูมิพัฒน์ ลีชนะวานิชพันธ์
ฝ่ายทันตกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “พูดทีวงแตก ! แก้กลิ่นปากเรื้อรังยังไงดี” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ











