โรค ไตวายเรื้อรัง อีกหนึ่งโรคที่นับว่าเป็นภัยเงียบโดยจากการรายงานของ The United States Renal Data System (USRDS) 1 ใน 5 ประเทศ ที่มีผู้ป่วย โรคไต ที่สูงที่สุด คือ ประเทศไทย ส่งผลให้ต้องมีการเฝ้าระวังโรคนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากไตวายเรื้อรังทำให้ไตมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย การควบคุมน้ำและแร่ธาตุต่าง ๆ ในเลือด การกำจัดของเสียออกจากเลือด การกำจัดยาหรือพิษออกจากร่างกาย และการหลั่งฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือด
ไตวายเรื้อรัง คืออะไร
เป็นการทำงานของไตที่มีความผิดปกติหรือเสื่อมลง หน้าที่ในการกำจัดของเสียออกจากเลือดและการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายมีความบกพร่อง ไม่สามารถขับของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากกระแสเลือดได้ โดยภาวะไตวายเรื้อรังจะมีการทำงานที่ผิดปกติเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หากปล่อยไว้นานไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายได้
ภาวะไตวายเรื้อรัง ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแสดงอาการ ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้เมื่อไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ไตเสื่อมลงจนเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย อาจมีของเสียคั่งในกระแสเลือดและต้องรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต เช่น การฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง
สาเหตุของโรคไตวายเรื้อรัง
ไตวายเรื้อรังเป็นภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานทีละน้อยต่อเนื่องกันเกิน 3 เดือนหรือเป็นปี โดยคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี หรือคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็น โรคไต มีโอกาสที่จะเป็นโรคไตวายเรื้อรังสูง หากทำการรักษาไม่ถูกต้อง เช่น รักษาเบาหวานไม่ดี น้ำตาลสูง ความดันเลือดสูง รับประทานยาตามแพทย์สั่งไม่สม่ำเสมอ ทำให้ควบคุมโรคประจำตัวได้ไม่ดี มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไตได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นการรู้ทัน สัญญาณเตือนไตวายเรื้อรัง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
ไตวายเรื้อรังรักษาให้หายได้หรือไม่
หากไตมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลงจะทำให้เกิด ไตฝ่อ เข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ แต่สามารถชะลอการเสื่อมของไตเพื่อลดโอกาสการฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง โดยการรักษาจากแพทย์และปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม มาดูกันว่าจะมี ทางเลือกรักษาไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย แบบไหนบ้าง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายควรเลือกรักษาอย่างไร
ผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
- มีอาการอ่อนเพลีย อ่อนแรง อิดโรย เหนื่อยง่าย หงุดหงิดง่าย หรือบางรายอาจจะซูบผอมเนื่องจากน้ำหนักที่ลดลง
- ตัวบวม ขาบวม ร่วมกับมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
- ระบบผิวหนัง มีผิวหนังซีด มีจ้ำเลือดเกิดขึ้นง่าย ผิวหนังแตกแห้ง เป็นแผลแล้วหายช้า หรือบางรายจะมีผิวหนังตกสะเก็ดดำคล้ำกว่าปกติ
- ระบบทางเดินอาหาร มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปากขม ไม่สามารถรับรสได้ สะอึก ปวดท้อง ท้องเดิน เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ และเป็นแผลในกระเพาะและลำไส้
- ระบบหัวใจและการหายใจ ถ้าไตทำงานได้น้อยลงจนขับปัสสาวะและเกลือแร่ไม่ได้ ทำให้มีอาการบวม หัวใจทำงานไม่ไหว เหนื่อยง่าย นอนราบแล้วหายใจลำบาก ความดันเลือดสูง หัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมสภาพ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาจเกิดภาวะน้ำคั่งในเยื่อหุ้มหัวใจ น้ำคั่งในปอด ปอดบวม ทำให้หายใจไม่ออก ไอเป็นเลือด
- ระบบประสาท สมอง และกล้ามเนื้อ มีอาการปลายประสาทเสื่อม ทำให้มือหรือเท้าชา ปวดหลังบริเวณบั้นเอว กล้ามเนื้อกระตุก เป็นตะคริวและกล้ามเนื้ออ่อนแรง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ขาดสมาธิ สมองเสื่อม
- ระบบกระดูก เนื่องจากไตสูญเสียหน้าที่ในการสังเคราะห์วิตามินดีทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ เกิดภาวะกระดูกพรุน แตกหักง่าย
- ระบบทางเดินปัสสาวะ จะทำให้ปัสสาวะบ่อย มีสีจางและปัสสาวะออกน้อยมาก
- ระบบโลหิต ฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง ทำให้มีภาวะเลือดจาง และการทำงานของเกล็ดเลือดผิดปกติ
- ระบบภูมิต้านทานโรค ภูมิต้านทานโรคต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ติดเชื้อได้ง่าย
- ระบบฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ฮอร์โมนจากรังไข่เพศหญิงทำให้ประจำเดือนผิดปกติ หรือฮอร์โมนจากลูกอัณฑะในเพศชายทำให้เป็นหมันและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ภาวะแทรกซ้อนจากไตวายเรื้อรัง
- โรคทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย หัวใจขาดเลือด หรือเส้นเลือดอุดตัน
- ปอดอักเสบ
- เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
- ปลายประสาทอักเสบ
- ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป
- ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้น
- กระดูกพรุน
- กระดูกอ่อน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่าย
- หย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด ไตวายเรื้อรัง
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- ได้รับยาหรือสารบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาชุด หรือยาหม้อ
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเช่น โรคเอสแอลอี (SLE)
- มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไตวายเรื้อรังหรือมีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำในไต
- นิ่วในไต
- ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหลายครั้ง
- โรคอ้วน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- มีอายุมากกว่า 60 ปี
รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> เสี่ยง ! ไตวายเรื้อรังที่ไม่ใช่แค่กินเค็ม
อาการของโรคไตวายเรื้อรัง
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- น้ำหนักลด
- ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ
- ใบหน้าบวม
- ความดันเลือดสูง
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นฟอง ปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ และปัสสาวะบ่อย
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ขาและเท้าบวม กดบุ๋ม
- คันตามตัว
- ปวดหลังหรือบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่ง
- กล้ามเนื้อเป็นตะคริวตอนกลางคืน
โรคไตวายเรื้อรังต้องรักษาอย่างไร ?
- ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) เป็นการนำเลือดที่มีของเสียคั่งค้างอยู่มาผ่านกระบวนการกรองเลือดเพื่อแยกของเสียออกจากเลือด จากนั้นค่อยนำเลือดที่ถูกกรองจนสะอาดใส่กลับคืนสู่ร่างกาย
- ล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (CAPD) โดยจะใส่น้ำยา CAPD เข้าไปในช่องท้องครั้งละ 2 ลิตร ความถี่ 3-4 ครั้งต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วย
- ปลูกถ่ายไต (kidney transplantation) คือ วิธีรักษาโรคไตวายระยะสุดท้ายและให้ผลดีที่สุด
วิธีป้องกัน ไตวายเรื้อรัง
- การควบคุมโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ตรวจสุขภาพ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจปัสสาวะและตรวจเลือด
- เลี่ยงการกินอาหารรสเค็ม
- เลี่ยงการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ยาแก้ปวด ชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาชุด และยาหม้อ
- เลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น เจนตามัยซิน คานามัยซิน
- เลี่ยงการใช้สารทึบรังสีโดยไม่จำเป็น
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ลดอาหารที่มีไขมันสูง
- งดอาหารที่มีโซเดียมสูง
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ปัจจุบันการรักษาโรคไตวายเรื้อรังในประเทศไทยมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อรู้ถึงลักษณะอาการของโรคไตตั้งแต่เนิ่น ๆ หมั่นคอยสังเกตอาการ และพบแพทย์ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี จะทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
ข้อมูลจาก
รศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ
สาขาวิชาโรคไต
ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: https://www.youtube.com/RamachannelTV
Facebook : https://www.facebook.com/ramachannel