โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีการแพร่กระจายผ่านยุงลาย เป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น เช่น ประเทศไทย การรู้จักโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษาอย่างทันท่วงที ในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ตั้งแต่อาการ สาเหตุ และวิธีการป้องกัน ทุกข้อมูลที่จำเป็นจะถูกรวบรวมไว้ที่นี่ เพื่อให้คุณรู้ทันและป้องกันได้ทันเวลา
โรคไข้เลือดออก คืออะไร
โรคไข้เลือดออก (dengue infection) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งมี 4 สายพันธุ์ โรคนี้มักพบระบาดในช่วงฤดูฝน โดยมียุงลายเป็นพาหะหลักในการนำโรคมาสู่มนุษย์ ในอดีต ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเป็นเด็ก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มอายุของผู้ป่วยได้ขยายไปถึงวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยทำงาน ทำให้จำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อาการไข้เลือดออก เป็นอย่างไร
อาการของโรคไข้เลือดออกมักเริ่มต้นอย่างกะทันหันหลังจากได้รับการติดเชื้อ 2-7 วัน โดยอาการหลักที่สังเกตได้มีดังนี้:
- ไข้สูงต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจยืดเยื้อได้ถึง 2-7 วัน
- ปวดศีรษะและปวดตา มักรู้สึกปวดรุนแรงรอบดวงตา และมีอาการปวดศีรษะที่ศีรษะส่วนหน้าและขมับ
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ:อาการปวดเมื่อยส่วนใหญ่จะปรากฏบริเวณข้อต่อและกล้ามเนื้อทั่วไป
- อ่อนเพลีย ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก ไม่มีแรง และอาจต้องการการพักผ่อนมากขึ้น
- อาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง
- ผื่นที่ผิวหนัง อาจพบผื่นแดงกระจายตัวอยู่ทั่วไปตามตัว
- อาการออกเลือดง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล ไอมีเลือด หรือมีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง
ทั้งนี้ อาการและความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกที่เกิดขึ้นในวัยเด็กและผู้ใหญ่นั้นไม่ต่างกันมาก เนื่องจากอายุไม่ได้เป็นตัวชี้ชัดแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความรุนแรงที่ต่างกันของแต่ละสายพันธุ์ รวมไปถึงพันธุกรรมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน แม้จะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกสายพันธุ์เดียวกัน ก็มีอาการความรุนแรงไม่เท่ากัน การติดเชื้อครั้งที่ 2 มีโอกาสที่จะเป็นโรคที่รุนแรงมากขึ้น
ไข้เลือดออก มีกี่ระยะ
โรคไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลักๆ ตามอาการและความรุนแรงของโรค ดังนี้:
ระยะไข้สูง
ไข้เลือดออกระยะแรก เรียกว่า “ระยะไข้สูง” ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงต่อเนื่องมากกว่า 38 องศาเซลเซียส อาการนี้จะปรากฏหลังจากได้รับการติดเชื้อ 4-7 วัน และอาจมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดตา ผื่นคัน และอาการอ่อนเพลียมาก ระยะนี้สามารถนานถึง 2-7 วันขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยและสายพันธุ์ของไวรัสที่ติดเชื้อ
ระยะวิกฤต
ระยะที่สองคือ “ระยะวิกฤต” ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากไข้ลดลง จะพบเฉพาะในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจพบกับภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การรั่วของพลาสม่าในหลอดเลือดทำให้เกิดภาวะช็อก รวมทั้งอาการเลือดออกต่าง ๆ อาการในระยะนี้ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เนื่องจากเป็นระยะที่อันตรายและมีโอกาสเสียชีวิตสูงถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ระยะฟื้นตัว
ระยะสุดท้ายคือ “ระยะฟื้นตัว” ซึ่งเป็นระยะที่ผู้ป่วยจะเริ่มดีขึ้นหลังจากผ่านพ้นระยะวิกฤต อาการปวดและอ่อนเพลียจะค่อย ๆ ลดลง และสัญญาณชีพเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ระยะนี้สำคัญมากในการฟื้นฟูร่างกายและสุขภาพโดยรวม ผู้ป่วยบางคนอาจเข้าสู่ระยะฟื้นตัวโดยไม่ผ่านระยะวิกฤตได้ ผู้ป่วยบางคนอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟื้นตัวและกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม
วิธีการรักษาไข้เลือดออก
สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งมีไข้ แนะนำให้พักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำ รับประทานอาหารอ่อน ๆ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ ไม่ควรรับประทานยาไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน หากผู้ป่วยมีไข้ได้ประมาณ 3-4 วันแล้วไม่ลด แพทย์จะทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออกหรือไม่ หากเจาะเลือดแล้วพบว่าเกล็ดเลือดต่ำ แพทย์จะแนะนำให้นอนโรงพยาบาลเพื่อรับน้ำเกลือและติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด เพราะผู้ป่วยอาจเข้าสู่ระยะวิกฤตได้ ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ
โรคไข้เลือดออก เป็นแล้วกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าโรคไข้เลือดออกมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ เพราะฉะนั้นคนหนึ่งคนสามารถเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง เช่น หากเคยเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 1 แล้วหาย ร่างกายจะมีภูมิต้านทานไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 1 ซึ่งจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์อื่น ๆ ที่เหลือได้ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคไข้เลือดออกครั้งแรกนั้น อาการจะไม่รุนแรงมาก แต่หากได้รับการติดเชื้อเป็นครั้งที่ 2 อาการของผู้ป่วยบางรายจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่ก็พบได้กับคนส่วนน้อยเท่านั้น
วิธีการป้องกันไข้เลือดออก
การป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดและความรุนแรงของโรค นี่คือวิธีการหลัก ๆ ในการป้องกันโรคนี้
- ควบคุมและกำจัดยุงลาย ยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก ชอบวางไข่ในน้ำนิ่ง ดังนั้นควรกำจัดแหล่งน้ำขังที่อาจเป็นที่อยู่อาศัยของยุง เช่น ถังน้ำ กระถางต้นไม้ และของเก่าที่สะสมน้ำฝนได้
- ใช้ยากันยุง การทายากันยุงบนผิวหนังสามารถช่วยป้องกันการถูกยุงกัดได้
- ใส่เสื้อผ้าที่คลุมเนื้อคลุมตัว ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงยาว และใส่ถุงเท้าเพื่อลดพื้นที่ผิวหนังที่ยุงสามารถกัดได้
- ใช้มุ้งนอน การนอนในมุ้งที่ปิดสนิทหรือมุ้งที่ได้รับการรักษาด้วยสารกำจัดแมลงสามารถป้องกันการถูกยุงกัดได้ตลอดทั้งคืน
- ติดตั้งมุ้งลวดและประตูมุ้ง ป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามาในบ้านด้วยการติดตั้งมุ้งลวดบนหน้าต่างและประตู
- กำจัดพื้นที่เพาะพันธุ์ยุง ทำความสะอาดท่อระบายน้ำ และกำจัดสิ่งของที่อาจกักเก็บน้ำได้ รวมทั้งตรวจสอบว่าไม่มีน้ำขังตามจุดต่าง ๆ รอบบ้าน
- ใช้สารกำจัดยุงในบ้าน สารพ่นฆ่ายุงในบ้านช่วยลดจำนวนยุงได้ ควรใช้ตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
- การรับวัคซีน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่สามารถให้ได้ในผู้ที่อายุ 4 ปีขึ้นไป สามารถปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่ต้องให้ความสำคัญในการรักษาและป้องกัน การรู้เรื่องอาการและระยะของโรคจะช่วยให้การรักษาและการป้องกันโรคมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หวังว่าข้อมูลในบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและรับมือกับโรคไข้เลือดออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลโดย
รศ. ดร. นพ.นพพร อภิวัฒนากุล
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “พบหมอรามาฯ : ไข้เลือดออก ภัยร้ายที่ต้องระวัง : Rama Health Talk (ช่วงที่ 2)” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ