ความรู้สึกว่าร่างกายโคลงเคลงหรือสิ่งแวดล้อมหมุน อาจทำให้หลายคนสับสนว่า ตนเองกำลังเผชิญกับแผ่นดินไหวหรือว่ากำลังมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนจากปัญหาสุขภาพ บทความนี้จะช่วยแยกแยะความแตกต่างและนำเสนอความรู้ในการดูแลตนเองเมื่อ เวียนศีรษะบ้านหมุน
ความแตกต่างระหว่างแผ่นดินไหวกับอาการบ้านหมุน
แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนที่ของพื้นดินโดยรอบ
ในขณะที่อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของระบบการทรงตัวภายในหูชั้นในหรือสมอง ทำให้รู้สึกเหมือนสิ่งแวดล้อมหรือตนเองกำลังหมุน มีอาการทรงตัวลำบาก โดยแท้ที่จริงแล้วทุกอย่างยังคงอยู่กับที่
การแยกแยะระหว่างแผ่นดินไหวและอาการบ้านหมุนเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่แน่ใจ ควรสังเกตรอบตัวว่ามีสิ่งของโยกหรือเคลื่อนที่จริงหรือไม่ เช่น ต้นไม้ เสาไฟ หรือระดับน้ำในแก้วน้ำ หากสิ่งของเหล่านี้ไม่เคลื่อนไหวแต่ยังรู้สึกว่าทุกอย่างหมุนอยู่ แสดงว่าอาจเป็นอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน
อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน เกิดจากอะไร ?
เกิดจากหลายสาเหตุ ตัวอย่างสาเหตุที่พบได้
-
โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน
- เกิดจากตะกอนหินปูนภายในหูชั้นในเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งปกติ ไปอยู่ในบริเวณอื่นของหูชั้นใน ซึ่งจะทำให้รู้สึกเวียนศีรษะบ้านหมุนเฉียบพลันเมื่อเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ เช่น การแหงนหน้า ตะแคงตัวบนที่นอน เป็นต้น
-
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
- เกิดจากความผิดปกติของของเหลวภายในหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน พร้อม ๆ กับการได้ยินที่ลดลง แน่นในหูและมีเสียงรบกวนในหู โดยอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ
-
โรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ
- มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ทรงตัวลำบาก เป็นอยู่นานเป็นวัน โดยไม่มีอาการทางสมองอื่น ๆ เช่น แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก พูดไม่ชัด กลืนลำบาก
-
โรคเวียนศีรษะไมเกรน
- มีอาการหรือมีประวัติการปวดศีรษะไมเกรน ร่วมกับอาการเวียนศีรษะ อาจมีอาการบ้านหมุนร่วมด้วย
-
โรคหลอดเลือดสมอง
- จะมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน โดยอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต เห็นภาพซ้อน
ถ้าเกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนแล้ว ต้องรักษาอย่างไร ?
การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น
- หากเกิดจากตะกอนหินปูนภายในหูชั้นในเคลื่อน การรักษาหลักจะเป็นการทำกายภาพเพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนกลับตำแหน่งเดิม
- หากเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน อาจต้องควบคุมอาหาร ลดการบริโภคโซเดียม รวมทั้งการใช้ยาเพื่อลดอาการ
- หากเกิดจากโรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบและยาเพื่อลดอาการ
เวียนศีรษะบ้านหมุน แบบไหนควรพบแพทย์
ควรพบแพทย์หากมีอาการต่อไปนี้
- เวียนศีรษะบ้านหมุนที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยแยกโรค รับการรักษาและคำแนะนำ
- เวียนศีรษะบ้านหมุนร่วมกับอาการทางสมอง
- เคยมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนแล้ว แต่ครั้งนี้มีอาการเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น หรือเกิดซ้ำบ่อย
ป้องกันอาการบ้านหมุนได้อย่างไร ?
แม้ว่าการป้องกันอาการบ้านหมุนทั้งหมดอาจเป็นไปได้ยาก แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ การปฏิบัติตัวโดยทั่วไป ได้แก่
- ลดความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ เพราะความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพออาจเป็นปัจจัยกระตุ้นอาการเวียนศีรษะ
- ควบคุมโรคประจำตัว และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับโรคประจำตัว
- ออกกำลังกาย ช่วยทั้งในด้านการลดความเครียด ที่สามารถกระตุ้นอาการเวียนศีรษะ ช่วยเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อเพื่อลดโอกาสล้มจากอาการเวียนศีรษะ รวมถึงกระตุ้นการทำงานของระบบการทรงตัว
- หมั่นสังเกตร่างกายและหากมีอาการเวียนศีรษะซ้ำ ควรพบแพทย์ เพื่อประเมินและรับการรักษา
นอกจากนี้ยังมีการลดความเสี่ยงเฉพาะโรค ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยโรคก่อน เพื่อคำแนะนำที่จำเพาะ เช่น
- การกระทบกระแทกของศีรษะ การเกิดอุบัติเหตุที่ศีรษะ เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคตะกอนหินปูนภายในหูชั้นในเคลื่อน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง การขาดวิตามินดี ดังนั้นจึงควรระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อศีรษะ และควบคุมรักษาโรคประจำตัว
- โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ ควรจำกัดการบริโภคเกลือหรือโซเดียม ลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ข้อมูลจาก
ผศ. พญ.ทศพร วิศุภกาญจน์
ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ