หน้าฝน ฤดูที่ต้องระวังหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่แฉะ ชื้น ไปไหนมาไหนก็ลำบาก อีกทั้งยังเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียที่มาพร้อมกับอากาศชื้นอย่างโรคที่มีชื่อว่า เมลิออยโดสิส โรคที่คนทำงานที่ต้องสัมผัสกับดินและน้ำบ่อย ๆ ต้องเฝ้าระวังเป็นอย่างมากเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรคเมลิออยโดสิส คืออะไร
โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Burkholderia pseudomallei (B. pseudomallei) เกิดขึ้นบ่อยกับคนที่ทำอาชีพเกษตรกรรมที่ต้องสัมผัสดินและน้ำเป็นประจำ เพราะเชื้อแบคทีเรียตัวนี้แพร่กระจายอยู่ในดินและน้ำ ทำให้เกิดอาการติดเชื้อส่วนต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง ปอด กระแสเลือด และอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น สมอง ตับ และไต
เมลิออยโดสิสโรคติดเชื้อที่ควรเฝ้าระวัง
การติดเชื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ผิวหนัง เกิดแผลเรื้อรัง ฝี หนอง และมีตุ่มขึ้น
- ปอด มีอาการไข้ขึ้น ไอ มีเสมหะ
- กระแสเลือด เกิดขึ้นในกรณีที่มีบาดแผล เพราะเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลทำให้มีอาการไข้สูง ความดันเลือดต่ำ ช็อก เป็นฝีในตับหรือในม้าม และถึงขั้นเสียชีวิตได้
ติดเชื้อได้ทางไหนบ้าง ?
- บาดแผลที่ผิวหนัง
- ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน
- หายใจรับฝุ่นละอองที่มีเชื้อปนเปื้อน
กลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อ
เกษตรกร เพราะต้องสัมผัสดินและน้ำด้วยเท้าเปล่าเป็นเวลานาน
โรคที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคไต
- โรคตับ
- โรคธาลัสซีเมีย
- โรคมะเร็ง
- ติดเชื้อเอชไอวี
- โรคปอด
- โรคภาวะหัวใจล้มเหลว
- โรควัณโรค
ความรุนแรงของโรค เมลิออยโดสิส
การติดเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานบกพร่อง หากไม่ได้เข้ารับการวินิจฉัยเพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจจะส่งผลให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
1 ใน 7 โรคเฝ้าระวังอันตรายต่อชีวิต
อาการ
- เกิดฝีหรือหนองที่ผิวหนัง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- มีไข้สูง
- ไอ หายใจติดขัด
- ปวดท้อง
- เจ็บหน้าอก
- เกิดแผลเรื้อรัง
อาการและความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลและปริมาณของเชื้อที่ได้รับ หากมีอาการรุนแรงมากขึ้นควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อป้องกันเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
การวินิจฉัยโรค เมลิออยโดสิส
วินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วย ตรวจเลือดและสารคัดหลั่งเพื่อไปเพาะเชื้อ นอกจากนี้ต้องสอบถามแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้ป่วย เพื่อเป็นแนวทางในการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและแม่นยำ
วิธีรักษา
- ฉีดยาปฏิชีวนะต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์แรกและรับประทานยาปฏิชีวนะต่อประมาณ 3 เดือน
วิธีป้องกัน
- รับประทานอาหารที่สะอาด ไม่มีสารปนเปื้อน และปรุงสุก
- ดื่มน้ำสะอาด
- หลีกเลี่ยงการเหยียบดิน ลุยน้ำ ช่วงฤดูฝน
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่ง หากมีฝนตกหรือสภาพอากาศแปรปวน
- หากเกิดแผลรีบทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดและยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ
- ต้องสวมรองเท้าบูทถุงมือยางเมื่อต้องลุยน้ำหรือจับดิน
ข้อมูลจาก
ผศ. นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ
ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล