หลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary artery disease: CAD) เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรงและสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยทั่วโลกรวมถึงผู้ป่วยในประเทศไทยต้องเสียชีวิตรองลงมาจากโรคมะเร็ง (Cancer) สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเกิดขึ้นได้จากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เช่น เพศ อายุ พันธุกรรม ตลอดไปจนถึงปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคที่พบได้บ่อย เช่น การสูบบุหรี่ โรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักตัวเกิน ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง มีความดันเลือดสูง
ถึงแม้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคอันตรายและอาจเกิดจากสาเหตุที่ยากต่อการควบคุม หากผู้ป่วยทำความเข้าใจอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติและสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้อีกยาวนาน
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ทราบได้อย่างไรว่าร่างกายของเราอาจกำลังประสบปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ? หลอดเลือดหัวใจตีบมักไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า โดยจะมีอาการของโรคเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรง ดังนี้
-
- ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก คล้ายมีของหนักทับที่หน้าอก อาจปวดร้าวจากหน้าอกขึ้นคางหรือปวดร้าวไปบริเวณแขนซ้าย
- รู้สึกเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะตอนที่ต้องออกแรง เช่น ยกของ ถือของหนัก ๆ หรือออกกำลังกายเบา ๆ
- ระดับความดันเลือดต่ำลงเฉียบพลัน
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีเหงื่อออกมาก
- ในระยะรุนแรงที่สุดอาจทำให้มีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ส่งผลให้ผู้ป่วยหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ ภาวะที่เยื่อบุผนังหลอดเลือดหัวใจหนาตัวขึ้นเนื่องจากเกิดการสะสมของสารต่าง ๆ และคราบไขมัน (Plaque) ส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจตีบแคบลง
การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดน้อยลงและอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ โดยสามารถแบ่งปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
- อายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจเกิดการเสื่อมสภาพและแคบเล็กลง ซึ่งผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมักพบได้มากในกลุ่มวัยกลางคนไปจนถึงผู้สูงอายุ
- เพศ จากข้อมูลพบว่าเพศชายมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้มากกว่าเพศหญิงที่อยู่ในช่วงวัยก่อนหมดประจำเดือน
- พันธุกรรม หากมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก็อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดโรคได้
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจากปัจจัยที่ควบคุมได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่เหมาะสม ดังนี้
- การสูบบุหรี่ สารพิษจำนวนมากกว่า 4,000 ชนิด ที่พบในบุหรี่มีส่วนทำให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดเสื่อมตัวก่อนวัยอันควรและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้มากถึง 2-4 เท่า
- มีไขมันในเลือดสูง ระดับคอเลสเตอรอลสูง ที่เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมันมากเกินจำเป็น ทำให้มีปริมาณไขมันสะสมเพิ่มขึ้น
- ภาวะความดันเลือดสูง เมื่อมีค่าความดันเลือดมากกว่า 140/90 mmHg เป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก และกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวผิดปกติ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- โรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน มีอาการอ้วนลงพุง
- โรคเบาหวาน ที่เกิดจากมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงชนิดเรื้อรังส่งผลให้เซลล์เยื่อบุหลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว
- ความเครียดสะสม การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
ผลกระทบ หลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่สร้างอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยรู้ตัวช้าหรือขาดการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เมื่อสารต่าง ๆ และคราบไขมันเริ่มสะสมตัวจนกลายเป็นชั้นหนาจะทำให้หลอดเลือดเริ่มตีบแคบลง ส่งผลต่อปริมาณเลือดที่ไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจและยังอาจทำให้หลอดเลือดปริแตก มีเกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดกั้นทางเดินของหลอดเลือด และเมื่อเกิดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเกินร้อยละ 50 จะส่งผลให้ผู้ป่วยแสดงอาการของโรคได้อย่างฉับพลัน
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
เมื่อผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เนื่องด้วยอาการแน่นหน้าอกหรือมีอาการอื่นดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ Electrocardiogram (ECG) ภายใน 10 นาทีและเจาะเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของหัวใจ หากพบว่ามีปริมาณเอนไซม์เพิ่มขึ้นร่วมกับมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกมากกว่า 20 นาที แสดงว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจและเกี่ยวข้องกับอาการหลอดเลือดหัวใจตีบตัน แพทย์จะประเมินระดับความรุนแรงของอาการอย่างละเอียดเพื่อวางแผนการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้วิธีรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตามระดับความรุนแรงของโรค โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
- หลอดเลือดตีบตันเพียงบางส่วน แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาด้วยการใช้ยาควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมมากขึ้น
- หลอดเลือดตันมาก หากตรวจพบการตีบแคบของหลอดเลือดในระดับมากขึ้นจะใช้วิธีการรักษาด้วยการทำบอลลูนและใส่ขดลวด (Stent) หัวใจเพื่อช่วยขยายหลอดเลือดและทำให้มีเลือดไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้อย่างเหมาะสม
- ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการทำบอลลูนและใส่ขดลวดหัวใจ มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft – CABG) เพื่อต่อเส้นเลือดที่เป็นทางเบี่ยงขึ้นมาใหม่ทำให้มีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้มากขึ้น
การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ถึงแม้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจะเป็นโรครุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้ แต่ทั้งนี้สามารถใช้วิธีการรักษาและดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัดก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขไปได้อีกยืนยาว ดังนี้
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจกระตุ้นให้อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงมากขึ้นและหันมาปรับพฤติกรรมการกินอาหารให้เหมาะสม กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร ลดหวาน มัน เค็ม และควบคุมค่า BMI ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- กินอาหารแต่พออิ่ม ไม่กินมากเกินไป และหลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังกินอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอกได้
- กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลังการรักษาแพทย์จะให้คนไข้ฝึกเดิน จากนั้นควรเพิ่มระยะเวลาทีละน้อย
- ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน ลดความเครียด
- ไม่สูบบุหรี่และงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ในกลุ่มที่ยังไม่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง สามารถป้องกันโอกาสการเกิดโรคด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสมมากขึ้น ดังนี้
-
- หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และอาหารเค็มจัด
- กินอาหารที่มีไขมันน้อย ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผนังหลอดเลือดด้านใน
- หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับหัวใจและร่างกายแบบองค์รวม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
-
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคัดกรองความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
สรุป
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตของผู้คนทั่วโลกรองจากโรคมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างเหมาะสม ลดหวาน มัน เค็มและอาหารที่มีไขมันสูง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
กรณีที่พบว่าตนเองมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบแล้วก็ไม่ต้องกังวลใจมากเกินไป เพราะหากรักษาอย่างเหมาะสมประกอบกับการดูแลตนเองเป็นอย่างดีตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะช่วยยืดอายุของผู้ป่วยให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขไปอีกยาวนาน
ข้อมูลจาก
ผศ. ดร.อภิญญา ศิริพิทยาคุณกิจ
อาจารย์พยาบาลโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: https://www.youtube.com/RamachannelTV
Facebook : https://www.facebook.com/ramachannel
Line: https://page.line.me/ramathibodi
Tiktok: https://www.tiktok.com/@ramachanneltv