ภูมิแพ้ เป็นโรคที่หลายคนมองว่าปัญหาสุขภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วหายเองได้ แต่ในความเป็นจริง โรคภูมิแพ้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาการของโรคภูมิแพ้ที่ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรง เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือผื่นคัน อาจลุกลามจนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรังและรุนแรงได้
บทความนี้จะพาไปรู้จักโรคภูมิแพ้แบบเจาะลึก ตั้งแต่สาเหตุ อาการ และการป้องกัน ไปจนถึงวิธีดูแลตนเอง เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและห่างไกลจากโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ คืออะไร
โรคภูมิแพ้ (allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ ทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด หรือแม้แต่น้ำหอมและสารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้แต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกัน และมีความรุนแรงไม่เท่ากัน เพราะชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่ได้รับและการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนต่างกัน
สาเหตุของโรคภูมิแพ้
สาเหตุของโรคภูมิแพ้โดยทั่วไปจะมี 3 ปัจจัย ดังนี้
1. พันธุกรรม
หากพ่อแม่หรือญาติสายตรงมีประวัติเป็นภูมิแพ้ โอกาสที่บุตรหลานจะเป็นภูมิแพ้จะสูงถึง 50%
2. สิ่งแวดล้อม
หากอยู่ในสถานที่ที่มีสารก่อภูมิแพ้บ่อย ๆ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้
3. ภูมิคุ้มกันส่วนตัว
หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ได้ออกกำลังกาย และกินอาหารที่ไม่เหมาะสม เมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลงก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้
สารก่อภูมิแพ้ มีอะไรบ้าง
สารก่อภูมิแพ้มีหลายประเภท เช่น
- ไรฝุ่น
- รังแคสุนัข รังแคแมว
- ขนสัตว์
- เกสรดอกไม้
- แมลงสาบ
- อาหารบางชนิด
อาการของ โรคภูมิแพ้ เป็นอย่างไร
อาการของโรคภูมิแพ้สามารถแสดงออกได้ในหลายรูปแบบ เช่น
- คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
- ไอ จาม
- เจ็บคอ
- ตาแดง
- คันตา น้ำตาไหล
- มีผดผื่น
กลุ่มโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย
โรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้กับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้และวิธีที่ร่างกายตอบสนอง โดยทั่วไปแบ่งเป็นกลุ่มโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย ดังนี้
ภูมิแพ้อากาศ
ภูมิแพ้อากาศเป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในทุกช่วงวัย เกิดจากการสูดดมสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่น ละออง เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ ทำให้ระบบทางเดินหายใจส่วนบนเกิดการอักเสบ มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย คันตาและจมูก ระคายเคืองในลำคอ
คำแนะนำ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นและมลพิษสูง
- ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน
ภูมิแพ้อาหาร
ภูมิแพ้อาหารเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อโปรตีนในอาหารบางชนิดผิดปกติ เช่น นมวัว ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง อาหารทะเลและหอย ไข่ไก่ มักพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีประวัติภูมิแพ้ทางพันธุกรรม มักมีผื่นคัน ลมพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
คำแนะนำ
- อ่านฉลากอาหารให้ละเอียดก่อนบริโภค
ภูมิแพ้ผิวหนัง
ภูมิแพ้ผิวหนังเกิดจากการสัมผัสสารระคายเคือง เช่น สารเคมี เครื่องสำอาง หรือฝุ่นละออง ทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและคัน
โรคภูมิแพ้ผิวหนังที่พบบ่อย
- ผื่นแพ้สัมผัส (contact dermatitis) : เกิดจากการสัมผัสสารเคมี เช่น น้ำหอม โลหะ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- ลมพิษ (urticaria) : เกิดจากการแพ้อาหารหรือยา ทำให้เกิดผื่นแดงและคัน
- ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) : มักเกิดในเด็กเล็ก แต่สามารถเป็นต่อเนื่องถึงวัยผู้ใหญ่
อาการที่พบบ่อย
- ผื่นแดง ตุ่มนูน คัน
- ผิวหนังแห้งแตกและอักเสบ
คำแนะนำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง
- ทาครีมบำรุงผิวและยาตามแพทย์สั่ง
วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคภูมิแพ้
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ขนสัตว์เลี้ยง ไรฝุ่น แมลงสาบ
- ทำความสะอาดบ้าน เปลี่ยนผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- ออกกำลังกาย ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ผัก ผลไม้
- ปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ ไม่ควรซื้อยากินเองเพราะอาจอันตรายต่อเยื่อจมูก
วิธีการทดสอบโรคภูมิแพ้
โดยทั่วไปจะมีการทดสอบ 2 วิธี ได้แก่
- การทดสอบทางผิวหนัง โดยการใช้สารก่อภูมิแพ้หยดบนผิวหนังและใช้เข็มเล็ก ๆ สะกิดผิวหนัง รอประมาณ 15 นาที ก็จะทราบผลว่าแพ้อะไร ตรงตำแหน่งที่มีอาการแพ้ก็จะมีลักษณะบวมแดง
- การเจาะเลือด แนะนำให้เลือกตรวจแบบ specific IGE
โรคภูมิแพ้สามารถรักษาหายขาดหรือไม่
ในปัจจุบันสามารถรักษาหายขาดได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากก็จะรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม ร่วมกับการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอก็จะควบคุมอาการได้ ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพ้ค่อนข้างมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน ใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น แนะนำให้รักษาโดยการเปลี่ยนภูมิคุ้มกัน หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Immunotherapy โดยขั้นตอนการเปลี่ยน คือ หากผู้ป่วยแพ้ไรฝุ่นแพทย์ก็ทำการเพิ่มไรฝุ่นเข้าไปด้วยวิธีการพิเศษ เปลี่ยนจากการแพ้ให้เป็นความชินต่อสารก่อภูมิแพ้ การปรับภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเป็นวิธีการที่อันตราย ต้องปรับโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
วิธีเลือกเครื่องดูดฝุ่นสำหรับดักกรองไรฝุ่น
เครื่องดูดฝุ่นที่มีคุณภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน ควรพิจารณาคุณสมบัติสำคัญต่อไปนี้
- แผ่นกรอง HEPA เลือกเครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็ก เช่น ไรฝุ่น ฝุ่นละออง ละอองเกสร โดยไม่ปล่อยให้ฟุ้งกระจายกลับสู่อากาศภายในบ้าน
- แรงดูดและกำลังไฟเพียงพอ ควรเลือกเครื่องที่มีแรงดูดสูง เพื่อทำความสะอาดพรม เบาะ และผ้านวมได้อย่างทั่วถึง ลดการสะสมของไรฝุ่นในเครื่องนอน
- ระบบปิดผนึกแน่นหนา เครื่องดูดฝุ่นที่มีระบบปิดผนึกดี ป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองรั่วไหลออกมา ช่วยคงความสะอาดของอากาศภายในบ้าน
- หัวดูดและอุปกรณ์เสริมหลากหลาย หัวดูดที่เหมาะกับพื้นผิวต่าง ๆ ช่วยให้การทำความสะอาดครอบคลุมทั้งพื้นเรียบ พรม และซอกมุมแคบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความสะดวกในการใช้งาน เลือกเครื่องที่น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย เปลี่ยนและทำความสะอาดตัวกรองได้สะดวก เพื่อสนับสนุนการทำความสะอาดสม่ำเสมอ
โรคภูมิแพ้แม้จะดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก หากเราเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน ก็จะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมใส่ใจสุขภาพตนเองและสภาพแวดล้อมในบ้าน เพื่อให้คุณและครอบครัวมีชีวิตที่สุขภาพดีและปราศจากภูมิแพ้
ข้อมูลโดย
รศ. พญ.วรรณดา ไล้สวน
สาขาวิชาโรคภูมิแพ้อิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิปรายการ “ภูมิแพ้ โรคธรรมดาที่ไม่ควรมองข้าม” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
Tiktok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ