ตาแดง หรือ โรคตาแดง เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่บริเวณตาขาว เนื่องจากหลอดเลือดที่บริเวณเยื่อบุตาขาวเกิดการขยายตัวโดยจะเห็นเป็นสีแดง
หน้าแรก
โรคตาแดง ชนิดใดอันตรายมาก และชนิดใดอันตรายน้อย รู้จักไว้ป้องกันทัน !

โรคตาแดง ชนิดใดอันตรายมาก และชนิดใดอันตรายน้อย รู้จักไว้ป้องกันทัน !

โรคตาแดง (red eye) เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่บริเวณตาขาว เนื่องจากหลอดเลือดที่บริเวณเยื่อบุตาขาวเกิดการขยายตัว โดยจะเห็นเป็นสีแดง อาจจะเกิดในตาข้างเดียวหรือสองข้างได้ เกิดได้จากหลายสาเหตุ อย่างไรก็ตาม ตาแดง ที่เกิดขึ้นมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไปและยังบ่งบอกถึงโรคชนิดต่าง ๆ ได้

รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> ตาแดงแค่มองแรงก็ติดได้

อาการของ โรคตาแดง

โดยปกติผู้ป่วยโรคตาแดง จะพบอาการความผิดปกติเหล่านี้

  • คันตา ระคายเคืองในดวงตาเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ภายในตา
  • ตรงบริเวณตาขาวเป็นสีชมพูเข้มหรือแดง หรืออาจมีภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา มองเห็นเป็นปื้นเลือดสีแดงที่บริเวณตาขาว
  • น้ำตาไหลตลอดเวลา หรือมีขี้ตาเยอะผิดปกติ
  • เปลือกตาบวมแดง
  • ในผู้ป่วยโรคตาแดง อาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตามัว มีฝ้าขาวที่กระจกตาดำ ต่อมน้ำเหลืองหนาหูโตและกดเจ็บ รู้สึกปวดตา ปวดศีรษะ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบเข้าพบจักษุแพทย์ในทันที

ชนิดของโรคตาแดง มีอะไรบ้าง

ชนิดของโรคตาแดงสามารถแบ่งออกตามระดับความรุนแรงของอาการได้ 2 ชนิด ได้แก่ อาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายน้อย และอาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายมาก

  • อาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายน้อย สามารถหายได้เองภายในช่วง 1-2 สัปดาห์ ได้แก่
    • โรคภูมิแพ้ของเยื่อบุตา เป็นตาแดงที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ควัน ละอองเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ทำให้มีอาการคันตา ตาแดง ตาบวม ระคายเคืองตา น้ำตาไหล ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ร่วมกับการใช้ยาหยอดตาหรือกินยาแก้แพ้
    • ต้อลม และต้อเนื้อ เป็นตาแดงที่เกิดขึ้นเนื่องจากเยื่อบุตาถูกกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคืองจากปัจจัยต่าง ๆ เป็นเวลานาน เช่น มลภาวะ ฝุ่น ควัน ความร้อนและรังสี UV ในแสงแดด มักพบได้บ่อยในกลุ่มที่ต้องอยู่กลางแจ้งและเจอมลภาวะเป็นประจำ ทำให้ผู้ป่วยมีเยื่อบุตาบริเวณหัวและหางตาอักเสบ เยื่อบุตามีการหนาตัวหรือยื่นเข้าไปบริเวณตาดำหรือกระจกตา ทำให้มีอาการระคายเคืองเรื้อรัง บดบังการมองเห็น สายตาเอียง หรือทำให้ดูไม่สวยงามได้  สามารถรักษาด้วยการใส่แว่นป้องกันดวงตา ใช้ยาหยอดตาและการผ่าตัดในกรณีที่เป็นมาก
    • เลือดออกใต้เยื่อบุตา  เป็นอาการที่พบได้บ่อยและไม่อันตราย ไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น สาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยในตาแตก เช่น การไอจามอย่างรุนแรง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ขยี้ตาบ่อย ๆ รวมไปถึงผู้ที่เพิ่งผ่าตัดบริเวณดวงตามาก่อน หรืออาจจะเกิดขึ้นเองได้ อาการตาแดงจากเลือดออกใต้เยื่อบุตาสามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยาเพื่อการรักษา
    •  เยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่เชื้อไวรัสเจริญเติบโตและแพร่กระจายติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่ง ผู้ป่วยจะมีอาการระคายเคืองตา เจ็บตา ตาแดง แสบตา น้ำตาไหล มีขี้ตา รักษาได้ด้วยการให้ยาตามอาการ และคอยเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่อาจลุกลามขึ้น
  • อาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายมาก หากปล่อยไว้นานอาจทำให้สูญเสียสายตาได้ ได้แก่
    • กระจกตาอักเสบจากการติดเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียและสามารถทะลุเข้าไปในกระจกตาจนเกิดความเสียหายรุนแรงถึงขั้นทำให้กระจกตาทะลุและตาบอดได้ผู้ป่วยมักมีอาการตาแดงมาก เปลือกตาบวม มีขี้ตาไหลออกมาจากตาตลอดเวลา และมีฝ้าขาวที่กระจกตาดำ  ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์อย่างทันท่วงที และได้รับการให้ยาฆ่าเชื้อ
    • ต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน เกิดจากระดับความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถสังเกตได้ว่าตาแดงตลอดเวลา มีอาการตามัว  กระจกตาขุ่นมัว รูม่านตาขยายใหญ่ขึ้นไม่ตอบสนองต่อแสงปวดตา ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน สามารถรักษาด้วยการลดความดันตาให้ลดลงกลับมาอยู่ในระดับปกติด้วยการใช้ยาลดความดันตา เลเซอร์ หรือการผ่าตัด หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจจะนำไปสู่การสูญเสียสายตาถึงขั้นตาบอดได้
    • ม่านตาอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง แพ้แสง บางรายอาจจะมีอาการของโรคทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดตามข้อ ผื่นแพ้แสงที่ผิวหนัง ผมร่วง หรือมีความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ รักษาด้วยการให้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันในกรณีที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ  และหากมีโรคทางกายร่วมจำเป็นต้องได้รับการรักษาควบคู่กัน ม่านตาอักเสบมีโอกาสกลับเป็นซ้ำ อาจจะมีต้อกระจกและต้อหิน แทรกซ้อนระหว่างการรักษาได้ ผู้ป่วยจึงควรได้รับการติดตามโรคอย่างต่อเนื่อง

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> โรคตาแดง – ลัดคิวหมอ

โรคตาแดง ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตามช่วงฤดูกาลแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังนับรวมไปจนถึงอาการตาแดงที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ  ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นโรคตาแดงชนิดรุนแรงไม่ควรปล่อยไว้ หรือรักษาเองโดยไม่พบแพทย์เพราะอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากสังเกตพบอาการผิดปกติที่บริเวณดวงตา เปลือกตาบวมผิดปกติ ขี้ตาไหลเยอะ การมองเห็นเริ่มลดลง ตาพร่า ตาไม่สู้แสง ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 24-48 ชั่วโมงเพื่อวินิจฉัยสาเหตุของอาการและทำการรักษาอย่างทันท่วงที

 

ข้อมูลจาก

รศ. พญ.ญาณิน สุวรรณ

สาขาวิชาต้อหิน ภาควิชาจักษุวิทยา

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ 

Website: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/

Website Rama mahidol : https://www.rama.mahidol.ac.th/

Facebook: https://www.facebook.com/ramachannel

Line: https://page.line.me/ramathibodi

Tiktok: https://www.tiktok.com/@ramachanneltv

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

พฤติกรรมแบบนี้ ทำแล้ว เสี่ยง! ปวดหลัง
พฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ เช่น นั่งผิดท่า ยกของไม่ถูกวิธี หรืออยู่ท่าเดิมนานเกินไป อาจนำไปสู่อาการปวดหลังเรื้อรังได้ รู้วิธีป้องกันก่อนสาย
บทความสุขภาพ
28-07-2025

4

ก้อนที่คอ ใช่ไทรอยด์หรือไม่ เช็กให้ชัวร์
พบก้อนที่คอ อย่าชะล่าใจ อาจเป็นต่อมไทรอยด์โต ซีสต์ หรือก้อนเนื้ออื่น ๆ ตรวจให้ชัวร์เพื่อวางแผนรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัย
บทความสุขภาพ
26-07-2025

5

สะโพกเสื่อม ป้องกันอย่างไร
สะโพกเสื่อมทำให้ปวดสะโพก เดินลำบาก และกระทบการใช้ชีวิต รู้วิธีป้องกันด้วยการปรับพฤติกรรม ออกกำลังกาย และดูแลน้ำหนักให้เหมาะสม
บทความสุขภาพ
21-07-2025

7

รู้ก่อน รับมือได้…กับอาการปวดข้อศอก
อาการปวดข้อศอกอาจเกิดจากการใช้งานซ้ำซาก หรือโรคข้ออักเสบ หากปล่อยไว้เรื้อรังอาจกระทบการใช้งานแขน รู้ทันสาเหตุและแนวทางดูแลอย่างถูกต้อง
บทความสุขภาพ
14-07-2025

8

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL