โรคตาแดง (red eye) เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่บริเวณตาขาว เนื่องจากหลอดเลือดที่บริเวณเยื่อบุตาขาวเกิดการขยายตัว โดยจะเห็นเป็นสีแดง อาจจะเกิดในตาข้างเดียวหรือสองข้างได้ เกิดได้จากหลายสาเหตุ อย่างไรก็ตาม ตาแดง ที่เกิดขึ้นมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไปและยังบ่งบอกถึงโรคชนิดต่าง ๆ ได้
รับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> ตาแดงแค่มองแรงก็ติดได้
อาการของ โรคตาแดง
โดยปกติผู้ป่วยโรคตาแดง จะพบอาการความผิดปกติเหล่านี้
- คันตา ระคายเคืองในดวงตาเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ภายในตา
- ตรงบริเวณตาขาวเป็นสีชมพูเข้มหรือแดง หรืออาจมีภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา มองเห็นเป็นปื้นเลือดสีแดงที่บริเวณตาขาว
- น้ำตาไหลตลอดเวลา หรือมีขี้ตาเยอะผิดปกติ
- เปลือกตาบวมแดง
- ในผู้ป่วยโรคตาแดง อาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตามัว มีฝ้าขาวที่กระจกตาดำ ต่อมน้ำเหลืองหนาหูโตและกดเจ็บ รู้สึกปวดตา ปวดศีรษะ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบเข้าพบจักษุแพทย์ในทันที
ชนิดของโรคตาแดง มีอะไรบ้าง
ชนิดของโรคตาแดงสามารถแบ่งออกตามระดับความรุนแรงของอาการได้ 2 ชนิด ได้แก่ อาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายน้อย และอาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายมาก
- อาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายน้อย สามารถหายได้เองภายในช่วง 1-2 สัปดาห์ ได้แก่
- โรคภูมิแพ้ของเยื่อบุตา เป็นตาแดงที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ควัน ละอองเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ทำให้มีอาการคันตา ตาแดง ตาบวม ระคายเคืองตา น้ำตาไหล ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ร่วมกับการใช้ยาหยอดตาหรือกินยาแก้แพ้
- ต้อลม และต้อเนื้อ เป็นตาแดงที่เกิดขึ้นเนื่องจากเยื่อบุตาถูกกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคืองจากปัจจัยต่าง ๆ เป็นเวลานาน เช่น มลภาวะ ฝุ่น ควัน ความร้อนและรังสี UV ในแสงแดด มักพบได้บ่อยในกลุ่มที่ต้องอยู่กลางแจ้งและเจอมลภาวะเป็นประจำ ทำให้ผู้ป่วยมีเยื่อบุตาบริเวณหัวและหางตาอักเสบ เยื่อบุตามีการหนาตัวหรือยื่นเข้าไปบริเวณตาดำหรือกระจกตา ทำให้มีอาการระคายเคืองเรื้อรัง บดบังการมองเห็น สายตาเอียง หรือทำให้ดูไม่สวยงามได้ สามารถรักษาด้วยการใส่แว่นป้องกันดวงตา ใช้ยาหยอดตาและการผ่าตัดในกรณีที่เป็นมาก
- เลือดออกใต้เยื่อบุตา เป็นอาการที่พบได้บ่อยและไม่อันตราย ไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น สาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยในตาแตก เช่น การไอจามอย่างรุนแรง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ขยี้ตาบ่อย ๆ รวมไปถึงผู้ที่เพิ่งผ่าตัดบริเวณดวงตามาก่อน หรืออาจจะเกิดขึ้นเองได้ อาการตาแดงจากเลือดออกใต้เยื่อบุตาสามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยาเพื่อการรักษา
- เยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่เชื้อไวรัสเจริญเติบโตและแพร่กระจายติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่ง ผู้ป่วยจะมีอาการระคายเคืองตา เจ็บตา ตาแดง แสบตา น้ำตาไหล มีขี้ตา รักษาได้ด้วยการให้ยาตามอาการ และคอยเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่อาจลุกลามขึ้น
- อาการตาแดงชนิดที่เป็นอันตรายมาก หากปล่อยไว้นานอาจทำให้สูญเสียสายตาได้ ได้แก่
- กระจกตาอักเสบจากการติดเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียและสามารถทะลุเข้าไปในกระจกตาจนเกิดความเสียหายรุนแรงถึงขั้นทำให้กระจกตาทะลุและตาบอดได้ผู้ป่วยมักมีอาการตาแดงมาก เปลือกตาบวม มีขี้ตาไหลออกมาจากตาตลอดเวลา และมีฝ้าขาวที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์อย่างทันท่วงที และได้รับการให้ยาฆ่าเชื้อ
- ต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน เกิดจากระดับความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถสังเกตได้ว่าตาแดงตลอดเวลา มีอาการตามัว กระจกตาขุ่นมัว รูม่านตาขยายใหญ่ขึ้นไม่ตอบสนองต่อแสงปวดตา ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน สามารถรักษาด้วยการลดความดันตาให้ลดลงกลับมาอยู่ในระดับปกติด้วยการใช้ยาลดความดันตา เลเซอร์ หรือการผ่าตัด หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจจะนำไปสู่การสูญเสียสายตาถึงขั้นตาบอดได้
- ม่านตาอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง แพ้แสง บางรายอาจจะมีอาการของโรคทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดตามข้อ ผื่นแพ้แสงที่ผิวหนัง ผมร่วง หรือมีความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ รักษาด้วยการให้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันในกรณีที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ และหากมีโรคทางกายร่วมจำเป็นต้องได้รับการรักษาควบคู่กัน ม่านตาอักเสบมีโอกาสกลับเป็นซ้ำ อาจจะมีต้อกระจกและต้อหิน แทรกซ้อนระหว่างการรักษาได้ ผู้ป่วยจึงควรได้รับการติดตามโรคอย่างต่อเนื่อง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> โรคตาแดง – ลัดคิวหมอ
โรคตาแดง ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตามช่วงฤดูกาลแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังนับรวมไปจนถึงอาการตาแดงที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นโรคตาแดงชนิดรุนแรงไม่ควรปล่อยไว้ หรือรักษาเองโดยไม่พบแพทย์เพราะอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากสังเกตพบอาการผิดปกติที่บริเวณดวงตา เปลือกตาบวมผิดปกติ ขี้ตาไหลเยอะ การมองเห็นเริ่มลดลง ตาพร่า ตาไม่สู้แสง ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 24-48 ชั่วโมงเพื่อวินิจฉัยสาเหตุของอาการและทำการรักษาอย่างทันท่วงที
ข้อมูลจาก
รศ. พญ.ญาณิน สุวรรณ
สาขาวิชาต้อหิน ภาควิชาจักษุวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่
Website: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/
Website Rama mahidol : https://www.rama.mahidol.ac.th/
Facebook: https://www.facebook.com/ramachannel