กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle Weakness) คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทำให้แรงหรือความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลง อาจเกิดขึ้นเฉียบพลันหรือค่อย ๆ เป็นมากขึ้นก็ได้ สาเหตุมีได้ทั้งจากโรคทางระบบประสาท โรคกล้ามเนื้อ หรือแม้แต่ภาวะขาดสารอาหาร หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การหยิบจับสิ่งของ หรือแม้แต่การหายใจ
กล้ามเนื้ออ่อนแรง คืออะไร ?
กล้ามเนื้ออ่อนแรง คือ ภาวะที่แรงต้านทานของกล้ามเนื้อลดลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ เช่น ยกแขน ขยับขา หรือจับสิ่งของอย่างมั่นคง ความอ่อนแรงนี้ต่างจากอาการเหนื่อยล้า เพราะไม่ได้หายไปหลังจากการพักผ่อน โดยปัญหาอาจเกิดเฉพาะส่วน เช่น แขน ขา หรือเกิดทั้งร่างกายก็ได้
กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดจากอะไร ?
สาเหตุของกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีหลายระดับ ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงโรคร้ายแรง เช่น
- ระบบประสาทและสมอง : โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ALS หรือปลายประสาทเสื่อม
- ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ : โรคกล้ามเนื้อเสื่อม กล้ามเนื้ออักเสบ
- โภชนาการไม่สมดุล : ขาดโปรตีน วิตามินบี วิตามินดี แร่ธาตุอย่างแคลเซียมหรือโพแทสเซียม
- การใช้ยา : ยาลดไขมัน (Statins) ยาที่กดภูมิคุ้มกัน
- ปัจจัยชั่วคราว : การออกกำลังกายหักโหม พักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะเครียด
เมื่อกล้ามเนื้อไม่ได้รับการบำรุงหรือถูกใช้งานอย่างไม่สมดุล จะทำให้การส่งสัญญาณจากสมองไปยังกล้ามเนื้อผิดปกติ จึงเกิดอาการอ่อนแรงขึ้น
ประเภทของกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีอะไรบ้าง ?
การจำแนกประเภทของกล้ามเนื้ออ่อนแรงช่วยให้เข้าใจอาการได้ชัดเจนขึ้น โดยทั่วไปแบ่งได้ดังนี้
- อ่อนแรงเฉพาะที่ : พบได้บ่อย เช่น แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ทำให้การเคลื่อนไหวไม่สมดุล
- อ่อนแรงทั่วร่างกาย : มักเกิดจากโรคทางระบบร่างกาย เช่น โรคเกี่ยวกับประสาทหรือโรคเรื้อรังที่ทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัวอ่อนแรงลง
- อ่อนแรงชั่วคราว : เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปหรือการเจ็บป่วยเฉียบพลัน เช่น ไข้สูง หรืออาการหลังติดเชื้อไวรัส
- อ่อนแรงถาวร : พบในโรคกล้ามเนื้อเสื่อมหรือโรคที่เกี่ยวกับพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถประคับประคองอาการ
กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการเป็นอย่างไร
อาการที่บ่งบอกว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรง ได้แก่
- ไม่สามารถยกของที่เคยยกได้
- การเดินหรือขึ้นบันไดลำบาก ต้องใช้แรงมากกว่าปกติ
- ลุกจากท่านั่งหรือเตียงยากขึ้น
- กล้ามเนื้อมีลักษณะลีบเล็กลงเมื่อเวลาผ่านไป
- อาจมีอาการชา เจ็บ หรือปวดร่วมด้วย
อาการเหล่านี้อาจเกิดทีละน้อยและค่อย ๆ แย่ลง หรือบางครั้งก็เกิดขึ้นฉับพลัน เช่น ในกรณีของโรคหลอดเลือดสมอง การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ได้รับการรักษาทันท่วงที
รักษาและฟื้นฟูกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้อย่างไร
การรักษาภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ โดยเป้าหมายสำคัญคือช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีแรงกล้ามเนื้อที่ดีขึ้น สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้อย่างใกล้เคียงปกติที่สุด แนวทางหลัก ๆ ที่ใช้มีดังนี้
- กายภาพบำบัด : เป็นวิธีที่สำคัญที่สุด เพราะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการเคลื่อนไหว ลดการลีบฝ่อ และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อ กายภาพบำบัดอาจทำร่วมกับการใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ไม้เท้า หรือเครื่องช่วยเดิน
- การใช้ยา : ในบางกรณีแพทย์อาจสั่งยาต้านการอักเสบ ยาที่ช่วยการทำงานของระบบประสาท หรือยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ในโรค Myasthenia Gravis (MG) เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น
- โภชนบำบัด : อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินดี วิตามินบี และแร่ธาตุ เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม ช่วยเสริมการซ่อมแซมและการทำงานของกล้ามเนื้อ
- การผ่าตัด : ใช้ในกรณีที่มีปัญหาโครงสร้าง เช่น เส้นประสาทถูกกดทับ หรือการผ่าตัดต่อมไทมัสในผู้ป่วย MG
แม้การรักษาบางโรคจะไม่ทำให้หายขาด แต่การฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม จะช่วยชะลอความเสื่อมและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยได้อย่างมาก
ใครเสี่ยงเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากปัจจัยทางอายุ สุขภาพ หรือพันธุกรรม โดยกลุ่มที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
- ผู้สูงอายุ : เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและเส้นประสาทจะเสื่อมตามธรรมชาติ ทำให้แรงกล้ามเนื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง : เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทและการไหลเวียนเลือด อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ง่าย
- ผู้ที่มีโรคทางระบบประสาทหรือพันธุกรรม : อย่างเช่น Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) Myasthenia Gravis (MG) หรือ Spinal Muscular Atrophy (SMA) ที่มักถ่ายทอดภายในครอบครัว
- ผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย : การขาดการใช้งานกล้ามเนื้อทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนแรงง่าย
- ผู้ที่มีโภชนาการไม่เหมาะสม : การขาดโปรตีน วิตามินบี วิตามินดี หรือแร่ธาตุสำคัญ อาจทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มที่
วิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
แม้บางกรณีของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะเกิดจากพันธุกรรมหรือโรคทางระบบประสาทที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและชะลอการเสื่อมของกล้ามเนื้อได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม การป้องกันที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน มีดังนี้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกกิจกรรมที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือการยกน้ำหนักเบา การออกกำลังกายยังช่วยให้ระบบประสาทและการไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น
- กินอาหารครบถ้วน เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อปลา ไข่ ถั่ว เต้าหู้ พร้อมผักผลไม้ที่มีวิตามินบี วิตามินดี และแร่ธาตุอย่างแคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ
- พักผ่อนเพียงพอ การนอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่ใช้งานมาทั้งวัน
- เลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อกล้ามเนื้อโดยไม่จำเป็น
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาความผิดปกติของร่างกายตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคไทรอยด์ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการอ่อนแรง
การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงไปได้นาน ลดความเสี่ยงของภาวะอ่อนแรง และทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์
- อาการอ่อนแรงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น แขนขาอ่อนแรงทันที หรือยกแขนไม่ขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน
- อาการค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ เช่น เดินลำบากขึ้น ลุกนั่งไม่สะดวก หรืออ่อนแรงมากขึ้นจนกระทบชีวิตประจำวัน
- อ่อนแรงร่วมกับอาการอื่น เช่น ชาหรือปวดตามแขนขา หนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด หรือหายใจติดขัด
- มีประวัติครอบครัว หากญาติใกล้ชิดเคยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น ALS หรือ SMA การพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองถือเป็นเรื่องสำคัญ
- อาการไม่ดีขึ้นแม้พักผ่อน หากร่างกายยังคงอ่อนแรงต่อเนื่องแม้ได้พัก อาจบ่งบอกถึงโรคเรื้อรังหรือภาวะขาดสารอาหารรุนแรง
การพบแพทย์เร็วจะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง กินอะไรดี
อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อปลา ไก่ ไข่ เต้าหู้ รวมถึงผักผลไม้ที่มีวิตามินบีและแร่ธาตุจำเป็น - กล้ามเนื้ออ่อนแรง ห้ามกินอะไร
ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ไขมันทรานส์ อาหารเค็มจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ - กล้ามเนื้ออ่อนแรง ยังสามารถขับรถได้ไหม
หากอาการไม่รุนแรงยังสามารถขับรถได้ แต่หากอ่อนแรงมากจนควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้ ควรงดการขับขี่ - โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือไม่ ?
บางชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคกล้ามเนื้อเสื่อม แต่บางกรณีเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมและโรคอื่นร่วมด้วย - โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ?
หากเกิดจากโรคร้ายแรง เช่น ALS หรือกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จำเป็นต้องติดตามอาการใกล้ชิด
กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นได้ตั้งแต่การขาดสารอาหาร ไปจนถึงโรคร้ายแรง การสังเกตอาการเบื้องต้น เช่น เดินลำบาก ยกของไม่ขึ้น หรืออ่อนแรงเรื้อรัง เป็นสิ่งสำคัญ หากตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาที่เหมาะสม โอกาสฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาใกล้เคียงปกติจะสูงขึ้น การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารดี และตรวจสุขภาพเป็นประจำคือกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะนี้
ข้อมูลโดย
ผศ. ดร. นพ.ไพฑูรย์ เบ็ญจพรเลิศ
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิป “ลัดคิวหมอ – #กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือชีวิตอ่อนแอ!” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










