ท้องผูก ถ่ายยาก เป็นภาวะที่รบกวนการใช้ชีวิตของใครหลายคน สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต การทำงาน และความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อระบบขับถ่ายโดยตรง การแก้ไขที่ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการเลือกกินอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา หากปรับพฤติกรรมแล้วยังไม่ดีขึ้น การใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่หากมีอาการรุนแรงหรือสัญญาณเตือนอื่น ๆ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด
สรุปข้อมูลสำคัญ
- ชื่อโรค: ท้องผูก (constipation)
- ลักษณะอาการ: ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อุจจาระแข็ง รู้สึกถ่ายไม่สุด ต้องออกแรงเบ่งมาก
- สาเหตุหลัก: การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย ขาดการออกกำลังกาย การอั้นอุจจาระบ่อย ผลข้างเคียงจากยา
- กลุ่มเสี่ยง: ผู้สูงอายุ ผู้หญิง ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยหรือไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่ใช้ยาลดความดันหรือยาแก้ปวดบางชนิด
- ภาวะแทรกซ้อน: ริดสีดวงทวาร แผลปริขอบทวาร ลำไส้อุดตัน คุณภาพชีวิตลดลง
- การรักษาเบื้องต้น: เพิ่มกากใยในอาหาร ดื่มน้ำให้เพียงพอ ขยับร่างกายสม่ำเสมอ ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ใช้ยาระบายเฉพาะกรณี
- ควรพบแพทย์เมื่อ: มีเลือดปนในอุจจาระ ปวดท้องรุนแรง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ท้องผูกที่เพิ่งเป็นหลังอายุ 50 ปี
เช็คอาการท้องผูก คุณกำลังเป็นอยู่หรือไม่
อาการท้องผูกไม่ใช่แค่การไม่ถ่ายทุกวัน แต่มีเกณฑ์การสังเกตที่ชัดเจนกว่านั้น หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าต้องขับถ่ายทุกวันจึงจะปกติ แต่ความจริงแล้วความถี่ในการขับถ่ายของแต่ละคนแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 3 ครั้งต่อวัน ไปจนถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากคุณมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 2 ข้อ เป็นระยะเวลานานกว่า 3 เดือน อาจเข้าข่ายภาวะท้องผูกเรื้อรังได้
- ความถี่ในการขับถ่าย: ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ลักษณะอุจจาระ: อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง แห้ง เป็นเม็ดกระสุนเล็ก ๆ คล้ายขี้แพะหรือขี้กระต่าย
- ความรู้สึกขณะขับถ่าย:
- ต้องใช้แรงเบ่งมากผิดปกติ
- รู้สึกว่าถ่ายไม่สุด เหมือนยังมีอุจจาระค้างอยู่
- รู้สึกว่ามีบางอย่างอุดตันบริเวณทวารหนัก
- อาจต้องใช้นิ้วล้วงหรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการขับถ่าย เช่น ใช้สายชำระ
- อาการร่วมอื่น ๆ: อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง ไม่สบายตัว หรือปวดเกร็งบริเวณท้องส่วนล่างร่วมด้วย
หากไม่แน่ใจหรืออาการเหล่านี้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน การจดบันทึกความถี่และลักษณะของอุจจาระเพื่อปรึกษาแพทย์ จะช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำยิ่งขึ้น
ท้องผูกเกิดจากอะไร เปิดพฤติกรรมเสี่ยงที่คุณอาจไม่รู้
สาเหตุของอาการท้องผูกส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เราอาจมองข้ามไป การทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้คือ ขั้นตอนแรกในการแก้ไขและป้องกันปัญหาได้อย่างตรงจุด พฤติกรรมเสี่ยงที่พบบ่อย ได้แก่
- การกินอาหาร
- กากใยน้อย: กินผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสีน้อยเกินไป ทำให้มวลอุจจาระไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการขับถ่าย
- ดื่มน้ำไม่เพียงพอ: เมื่อร่างกายขาดน้ำ ลำไส้จะดูดน้ำจากอุจจาระกลับคืน ทำให้มีลักษณะแห้งและแข็ง
- กินอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง: อาหารเหล่านี้ย่อยยากและอาจทำให้การเคลื่อนตัวของลำไส้ช้าลง
- เครื่องดื่มบางชนิด เช่น การดื่มยาส่งผลให้ท้องผูกได้
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต
- ขาดการออกกำลังกาย: การไม่เคลื่อนไหวร่างกายทำให้กล้ามเนื้อลำไส้ทำงานได้ไม่เต็มที่
- การอุจจาระ: เมื่อรู้สึกปวดแต่ไม่ยอมเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือน ส่งผลให้การขับถ่ายยากขึ้นในครั้งถัดไป
- ความเครียด: ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมลำไส้
- การเดินทาง: การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เวลา และอาหาร อาจทำให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนชั่วคราว
- ปัจจัยอื่น ๆ
- การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ ยาลดกรดที่มีอะลูมิเนียม ยาเสริมธาตุเหล็ก ยาขับปัสสาวะ
- โรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ
- อายุที่เพิ่มขึ้น: ผู้สูงอายุมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง
- การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและขนาดของมดลูกที่ใหญ่ขึ้นอาจกดทับลำไส้
ปรับอาหารแก้ท้องผูก ควรกินอะไรและเลี่ยงอะไร
การปรับเปลี่ยนอาหารเป็นวิธีแก้ท้องผูกที่ได้ผลและยั่งยืนที่สุด หลักการสำคัญคือการเพิ่มปริมาณกากใย (fiber) และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้อุจจาระนุ่มและเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น ลองปรับเปลี่ยนเมนูในแต่ละวันตามคำแนะนำต่อไปนี้
- อาหารที่ควรกินเพื่อเพิ่มกากใย
- ผลไม้: มะละกอ กล้วยน้ำว้าสุก ส้ม แอปเปิล ลูกพรุน แก้วมังกร เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยม
- ผัก: ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น คะน้า บรอกโคลี ตำลึง และผักอื่น ๆ เช่น แครอท ฟักทอง
- ธัญพืชไม่ขัดสี: ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์
- ถั่วและเมล็ดพืช: ถั่วต่าง ๆ เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง และถั่วเปลือกแข็ง
- โยเกิร์ต: เลือกชนิดที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติกส์ ซึ่งช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้
- เครื่องดื่มที่ช่วยในการขับถ่าย
- น้ำเปล่า: ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร เพื่อให้อุจจาระไม่แห้งแข็ง
- น้ำผลไม้: เช่น น้ำลูกพรุนสกัดเข้มข้น
- กาแฟดำ
- อาหารและเครื่องดื่มที่ควรเลี่ยงหรือลดปริมาณ
- อาหารไขมันสูง: ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารแปรรูป
- อาหารที่มีน้ำตาลสูง: ขนมหวาน เบเกอรี่ น้ำอัดลม
- เครื่องดื่ม: แอลกอฮอล์ ชา อาจทำให้ร่างกายขับน้ำมากขึ้น ส่งผลให้อุจจาระแข็งตัว
- ผลิตภัณฑ์นม: ในบางรายอาจมีอาการท้องผูกจากการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์นมในปริมาณมาก
การปรับเปลี่ยนอาหารควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและหลีกเลี่ยงอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มกากใยอย่างรวดเร็ว
ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน พิชิตอาการท้องผูก
นอกจากการปรับอาหารแล้ว การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อระบบขับถ่ายได้ พฤติกรรมเหล่านี้ช่วยสร้างวินัยให้ลำไส้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ
- ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
- พยายามเข้าห้องน้ำในเวลาเดิมทุกวัน เช่น หลังตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังมื้ออาหาร
- ใช้เวลาในห้องน้ำอย่างน้อย 5-10 นาที โดยไม่เร่งรีบหรือเบ่งแรงเกินไป
- สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือหรืออ่านหนังสือที่ทำให้จดจ่อเกินไป
- อย่าอั้นอุจจาระ
- เมื่อรู้สึกปวดถ่าย ควรเข้าห้องน้ำทันที การอั้นไว้บ่อย ๆ จะทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดน้ำกลับจากอุจจาระมากขึ้นจนแข็งและถ่ายยาก
- การเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนของร่างกายจะทำให้การรับรู้ของลำไส้ลดลงในระยะยาว
- ปรับท่านั่งขับถ่าย
- ท่านั่งที่เหมาะสมที่สุดคือท่านั่งยอง ๆ เพราะจะทำให้ลำไส้ทำมุมตรง ช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
- สำหรับผู้ที่ใช้ชักโครกแบบนั่ง สามารถหาเก้าอี้เตี้ย ๆ มาวางเท้าเพื่อยกเข่าให้สูงกว่าระดับสะโพก ซึ่งจะช่วยจำลองท่านั่งยอง ๆ ได้
- จัดการความเครียด
- ความเครียดส่งผลต่อการทำงานของลำไส้โดยตรง
- หาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น การนั่งสมาธิ ฟังเพลง การทำงานอดิเรก หรือพูดคุยกับคนใกล้ชิด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานได้อย่างสมดุล
การสร้างพฤติกรรมเหล่านี้ให้เป็นนิสัยอาจต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือระบบขับถ่ายที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องพึ่งยา
ออกกำลังกายแบบไหน ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
การเคลื่อนไหวร่างกายหรือการออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีธรรมชาติที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ เมื่อเราออกกำลังกาย กล้ามเนื้อทั่วร่างกายรวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณช่องท้องและลำไส้จะถูกกระตุ้นให้เคลื่อนไหวมากขึ้น ทำให้อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านลำไส้ได้ดีและเร็วขึ้น ลดเวลาที่ของเสียตกค้างอยู่ในร่างกาย
- การออกกำลังกายที่แนะนำ
- แอโรบิก (aerobic exercise) การออกกำลังกายที่เน้นการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ ซึ่งกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้โดยตรง
- การเดินเร็ว ง่ายและปลอดภัย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เพียงวันละ 20-30 นาทีก็เห็นผล
- การวิ่ง สำหรับผู้ที่ร่างกายแข็งแรง
- การว่ายน้ำ ช่วยบริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนโดยไม่สร้างแรงกระแทกต่อข้อต่อ
- การเต้นแอโรบิก สนุกและได้เคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน
- โยคะ (Yoga)
- หลายท่าของโยคะเน้นการบิดลำตัว ซึ่งเปรียบเสมือนการนวดอวัยวะภายในช่องท้องและลำไส้
- ท่าที่แนะนำ เช่น ท่าบิดตัว (spinal twist) ท่าเด็ก (Child’s pose) และท่าปล่อยลม (Wind-Relieving pose)
- การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- การซิทอัพ หรือการนอนหงายแล้วยกขาสลับข้าง จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งมีส่วนช่วยในการเบ่งถ่าย
- แอโรบิก (aerobic exercise) การออกกำลังกายที่เน้นการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ ซึ่งกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้โดยตรง
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที
- เลือกประเภทการออกกำลังกายที่ชอบเพื่อให้สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกาย
- ฝึกการหายใจโดยใช้การใช้กะบังลมจะช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
ยาระบายแก้ท้องผูก ใช้เมื่อไรและควรเลือกอย่างไร
เมื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการควบคุมอาหารยังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ การใช้ “ยาระบาย” อาจเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อบรรเทาอาการในระยะสั้น แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจประเภทของยาและใช้อย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัย ยาระบายมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ต่างกัน
- กลุ่มยาเพิ่มกากใย (bulk-forming laxatives)
- ออกฤทธิ์โดยการดูดน้ำในลำไส้ ทำให้อุจจาระมีขนาดใหญ่ขึ้นและนุ่มขึ้น กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว
- เป็นกลุ่มที่ปลอดภัยและใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด
- ข้อควรระวัง เริ่มต้นใช้ในขนาดน้อยและดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อป้องกันการอุดตันของลำไส้
- กลุ่มยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม (stool softeners) ช่วยให้น้ำและไขมันแทรกซึมเข้าไปในก้อนอุจจาระ ทำให้อุจจาระนุ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องหลีกเลี่ยงการเบ่ง เช่น ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หรือผู้ป่วยหลังผ่าตัด
- กลุ่มยาที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (stimulant laxatives)
- ออกฤทธิ์โดยตรงต่อผนังลำไส้ ทำให้เกิดการบีบตัวและเคลื่อนไหวมากขึ้น
- เห็นผลเร็ว แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้เกิดการชินยา
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์โดยการดูดซึมน้ำ (osmotic laxatives)
- ทำงานโดยการดึงน้ำเข้ามาในลำไส้ ทำให้อุจจาระเหลวและขับถ่ายง่าย
- ข้อควรระวัง อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำหรือเกลือแร่ไม่สมดุลได้
ควรใช้ยาระบายเมื่อไร ?
- ใช้เมื่อปรับพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
- ใช้เป็นครั้งคราว ไม่ควรใช้ต่อเนื่องนานเกิน 1-2 สัปดาห์โดยไม่มีคำสั่งแพทย์
- หากจำเป็นต้องใช้ยาต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
สัญญาณอันตรายจากอาการท้องผูกที่ควรรีบพบแพทย์
โดยทั่วไปแล้ว อาการท้องผูกมักไม่เป็นอันตรายและสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง แต่ในบางกรณี อาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ได้ หากคุณมีอาการท้องผูกร่วมกับสัญญาณเตือนต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อย่าปล่อยทิ้งไว้โดยเด็ดขาด
- มีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการขับถ่ายอย่างฉับพลัน
- จากที่เคยขับถ่ายปกติ กลายเป็นท้องผูกสลับกับท้องเสียโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
- อาการท้องผูกเกิดขึ้นใหม่และรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
- อาการที่เกิดขึ้นกับอุจจาระ
- ถ่ายเป็นเลือด อาจเห็นเป็นเลือดสดปนออกมา หรืออุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอย
- ขนาดของอุจจาระเล็กลง อุจจาระมีขนาดลีบเล็กลงผิดปกติคล้ายแท่งดินสอ
- อาการทางร่างกายอื่น ๆ ที่น่ากังวล
- ปวดท้องรุนแรง มีอาการปวดท้องมากผิดปกติ หรือปวดเกร็งอย่างรุนแรง
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วทั้งที่ไม่ได้ควบคุมอาหาร
- มีไข้ หรือคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
- อ่อนเพลียผิดปกติ
- มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะต่าง ๆ เช่น ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคเกี่ยวกับการอักเสบในลำไส้ การพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ จะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้
เคล็ดลับป้องกันท้องผูก บอกลาปัญหากวนใจระยะยาว
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ แทนที่จะรอให้เกิดอาการแล้วค่อยแก้ไข การสร้างนิสัยและพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพลำไส้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณห่างไกลจากปัญหาท้องผูกได้อย่างยั่งยืน เคล็ดลับเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
ทำให้ “ใยอาหาร” เป็นเพื่อนซี้
- ตั้งเป้าหมายกินผักและผลไม้ให้ได้ 5 ส่วนในแต่ละวัน
- เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวโอ๊ต หรือขนมปังโฮลวีต
- เลือกกินข้าวกล้องหรือธัญพืชไม่ขัดสีแทนข้าวขาว
ดื่มน้ำให้เป็นนิสัย
- พกขวดน้ำติดตัวไว้เสมอเพื่อเตือนให้จิบน้ำตลอดทั้งวัน
- เริ่มต้นวันด้วยการดื่มน้ำ 1-2 แก้วหลังตื่นนอน เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้
ขยับร่างกายทุกวัน
- ตั้งเป้าหมายเดินให้ได้ 10,000 ก้าวต่อวัน
- หากทำงานนั่งโต๊ะ ควรลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายหรือเดินทุก ๆ 1 ชั่วโมง
- หาเวลาออกกำลังกายที่ชอบอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง 3-5 วันต่อสัปดาห์
สร้างวินัยให้ลำไส้
- ฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลาทุกวัน แม้ว่าจะยังไม่รู้สึกปวดก็ตาม
- ให้เวลาตัวเองในห้องน้ำอย่างเพียงพอ ไม่ต้องรีบร้อน
ฟังเสียงร่างกาย
- เมื่อร่างกายส่งสัญญาณว่าปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ อย่ารีรอหรืออั้นไว้
ลดความเครียด
- หาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะกับคุณ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือทำงานอดิเรก
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันอาการท้องผูก แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของคุณอีกด้วย
ท้องผูกในคนท้องและผู้สูงอายุ ดูแลต่างกันอย่างไร
อาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และผู้สูงอายุถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและปัจจัยอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน การดูแลจึงต้องมีความเฉพาะเจาะจงและระมัดระวังมากขึ้น
ท้องผูกในหญิงตั้งครรภ์
- สาเหตุ
- ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน: ระดับฮอร์โมนที่สูงขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ทำให้กล้ามเนื้อลำไส้คลายตัวและทำงานช้าลง
- ขนาดมดลูก: มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นอาจไปกดเบียดลำไส้
- ยาบำรุง: วิตามินเสริมธาตุเหล็กที่กินในช่วงตั้งครรภ์อาจเป็นสาเหตุของท้องผูกได้
- แนวทางการดูแล
- เน้นการปรับพฤติกรรมเป็นหลัก: ดื่มน้ำมาก ๆ กินอาหารที่มีกากใยสูง ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน หรือโยคะสำหรับคนท้อง
- หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายแรง ๆ
- การใช้ยา: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกชนิด ยาระบายบางประเภทอาจไม่ปลอดภัยต่อทารกในครรภ์
ท้องผูกในผู้สูงอายุ
- สาเหตุ
- การทำงานของลำไส้: การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลงตามวัย
- กิจกรรมทางกายลดลง: เคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้ลำไส้ไม่ถูกกระตุ้น
- อาหารและน้ำ: อาจกินอาหารที่มีกากใยน้อยลงหรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ เนื่องจากปัญหาการเคี้ยวหรือความอยากอาหารลดลง
- โรคประจำตัวและยา: มักมีโรคประจำตัวหลายอย่างและใช้ยาหลายชนิดซึ่งอาจเป็นสาเหตุของท้องผูก
- แนวทางการดูแล
- กระตุ้นให้ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดวัน
- เลือกอาหารที่เคี้ยวง่ายแต่มีกากใยสูง เช่น ข้าวโอ๊ต กล้วยสุก มะละกอสุก
- ส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่ทำได้ เช่น การเดินในระยะทางสั้น ๆ หรือการทำกายบริหารง่าย ๆ
- การใช้ยา ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของยาได้ง่าย
อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่สามารถจัดการและป้องกันได้ด้วยตนเองเป็นหลัก โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต 3 ด้านหลัก ได้แก่ การกินอาหาร โดยเน้นอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และ การปรับพฤติกรรมการขับถ่าย โดยการฝึกให้เป็นเวลาและไม่อั้นอุจจาระ การทำสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ระบบขับถ่ายกลับมาทำงานได้อย่างสมดุลและมีสุขภาพดีในระยะยาว
การใช้ยาระบายควรเป็นทางเลือกเสริมในระยะสั้นเมื่อจำเป็นเท่านั้น และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ ที่สำคัญที่สุด หากมีอาการท้องผูกร่วมกับมีสัญญาณเตือน เช่น ถ่ายเป็นเลือด ปวดท้องรุนแรง หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ร้ายแรงได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการท้องผูก
Q1: จำเป็นต้องขับถ่ายทุกวันหรือไม่ ถึงจะเรียกว่าปกติ?
A: ไม่จำเป็น ความถี่ในการขับถ่ายของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทางการแพทย์ถือว่าการขับถ่ายตั้งแต่ 3 ครั้งต่อวัน ไปจนถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ยังถือเป็นช่วงที่ปกติ หากอุจจาระไม่แข็งหรือต้องเบ่งลำบาก ก็ยังไม่ถือว่ามีอาการท้องผูก
Q2: ดื่มกาแฟตอนเช้าช่วยให้ขับถ่ายได้จริงหรือไม่ ?
A: จริงสำหรับบางคน คาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้บางคนรู้สึกอยากขับถ่ายหลังดื่มกาแฟ แต่ในทางกลับกัน คาเฟอีนก็มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ หากดื่มน้ำไม่เพียงพออาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและอุจจาระแข็งขึ้นได้ในระยะยาว ดังนั้น จึงไม่ใช่วิธีแก้ท้องผูกที่แนะนำสำหรับทุกคน
Q3: การกินยาระบายติดต่อกันเป็นเวลานานมีผลเสียอย่างไร ?
A: การใช้ยาระบายบางกลุ่ม (โดยเฉพาะกลุ่มกระตุ้นลำไส้) ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ลำไส้ “ขี้เกียจ” หรือเกิดภาวะลำไส้เคยชิน ทำให้ลำไส้ไม่สามารถบีบตัวเองได้ตามธรรมชาติ และต้องพึ่งพายาในปริมาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นควรใช้ยาระบายเท่าที่จำเป็นในระยะสั้น ๆ และอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
Q4: อาหารเสริมไฟเบอร์หรือดีท็อกซ์ช่วยแก้ท้องผูกได้ถาวรหรือไม่ ?
A: อาหารเสริมไฟเบอร์สามารถช่วยเพิ่มกากใยและทำให้อุจจาระนุ่มขึ้นได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาท้องผูก แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถาวรหากไม่ปรับพฤติกรรมการกินโดยรวม ส่วนผลิตภัณฑ์ดีท็อกซ์ลำไส้หลายชนิดมักมีส่วนผสมของยาระบาย ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียได้หากใช้ต่อเนื่อง วิธีที่ดีที่สุดคือการได้รับไฟเบอร์จากผัก ผลไม้ และธัญพืชตามธรรมชาติ
Q5: ความเครียดทำให้ท้องผูกได้อย่างไร ?
A: สมองและลำไส้มีการเชื่อมต่อกันผ่านระบบประสาทที่เรียกว่า Gut-Brain Axis เมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด (เช่น คอร์ติซอล) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของลำไส้ ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง การย่อยอาหารผิดปกติ และนำไปสู่อาการท้องผูกได้
Q6: หากปรับพฤติกรรมทุกอย่างแล้วยังท้องผูก ควรทำอย่างไร ?
A: หากคุณได้ลองปรับทั้งเรื่องอาหาร การดื่มน้ำ การออกกำลังกาย และพฤติกรรมการขับถ่ายอย่างเต็มที่เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีสัญญาณอันตรายอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลด ปวดท้องรุนแรง) ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจมาจากโรคประจำตัวหรือภาวะอื่น ๆ ที่ต้องได้รับการรักษาโดยตรง
ข้อมูลโดย
อ. พญ.ศุภมาส เชิญอักษร
สาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ







