ยาช่วยย่อย กินบ่อย ๆ ช่วยได้จริง ? ไม่อันตราย ใช่หรือมั่ว
หน้าแรก
ยาช่วยย่อย กินบ่อย ๆ ช่วยได้จริง ? ไม่อันตราย ใช่หรือมั่ว

ยาช่วยย่อย กินบ่อย ๆ ช่วยได้จริง ? ไม่อันตราย ใช่หรือมั่ว

ยาช่วยย่อย เป็นตัวช่วยยอดฮิตของหลายคนเมื่อรู้สึกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรืออึดอัดหลังมื้อใหญ่ เพราะให้ผลเร็วและเห็นผลทันใจ แต่รู้หรือไม่ว่า การกินยาช่วยย่อยบ่อย ๆ อาจไม่ได้ช่วยให้ระบบย่อยดีขึ้นเสมอไป แถมบางครั้งยัง “ส่งผลเสีย” ต่อร่างกายในระยะยาวได้อีกด้วย บทความนี้จะพามาทำความเข้าใจตั้งว่า ยาช่วยย่อยคืออะไร มีกี่ประเภท ใช้บ่อยได้ไหม และควรปรับพฤติกรรมอย่างไรให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีโดยไม่ต้องพึ่งยา

สรุปข้อมูลสำคัญ

  • กลุ่มยา: ยาเอนไซม์ (Digestive Enzymes) ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร (Antacids) ยาขับลม (Carminatives) ยาสมุนไพร
  • ข้อบ่งใช้ทั่วไป: ใช้บรรเทาอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องอืด หรือกรดเกินในกระเพาะอาหาร
  • รูปแบบ: เม็ด เคี้ยว ซองผง แคปซูล
  • ข้อควรระวังหลัก: ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ หากมีอาการเรื้อรังควรพบแพทย์, ผู้ป่วยโรคตับอ่อนหรือกระเพาะควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
  • เอกสารที่ควรอ่าน: เอกสารกำกับยา คำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร
  • อัปเดตล่าสุด: 9 ตุลาคม 2025
  • แหล่งอ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ยาช่วยย่อย คืออะไร

ยาช่วยย่อย โดยทั่วไปหมายถึงยาที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง โดยหากแบ่งตามการออกฤทธิ์ของยาจะสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้แก่ ยาเอนไซม์ ที่ประกอบไปด้วยเอนไซม์ช่วยย่อยสารอาหารส่วนเกิน ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ที่ช่วยบรรเทาอาหารปวดเสียดท้องจากการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารที่มากเกินไป หรือในคนที่มีแผลในกระเพาะอาหารและทนภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่มากเกินไปไม่ได้ ยาขับลม ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดแรงตึงผิวของฟองอากาศในกระเพาะอาหาร ทำให้ลมถูกขับออกมาทางปากและทำให้อาการแน่นท้องทุเลาลง และสุดท้ายคือกลุ่มยาสมุนไพร ซึ่งมักมีการออกฤทธิ์หลายกลไก ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง ขึ้นกับชนิดของสมุนไพร

ยาในกลุ่มนี้เป็นตัวช่วยบรรเทาอาการในระยะสั้นเท่านั้น การรับประทานยาเหล่านี้เป็นเวลานานโดยไม่ได้อยู่ในความดูแลของแพทย์ หรือไม่มีข้อบ่งใช้เรื้อรังที่จำเป็นต้องใช้อาจเกิดผลเสียต่อระบบทางเดินอาหาร เช่นร่างกายเคยชินกับภาวะที่ต้องมียาช่วยอยู่ตลอดเวลาได้ หรือลดการดูดซึมของสารอาหารและวิตามินบางอย่างได้ รวมถึงในคนที่มีปัญหาเรื่องตับหรือไตทำงานผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนหาซื้อยามารับประทานเอง

ยาช่วยย่อย มีกี่ประเภท ?

ยาช่วยย่อย มีกี่ประเภท

ยาช่วยย่อยแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ คือ

กลุ่มเอนไซม์ช่วยย่อย (Digestive Enzymes)

เป็นยาที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารแต่ละประเภท เช่น

  • อะไมเลส (Amylase) ช่วยย่อยแป้งและคาร์โบไฮเดรต
  • โปรตีเอส (Protease) ช่วยย่อยโปรตีน
  • ไลเปส (Lipase) ช่วยย่อยไขมัน

ยากลุ่มนี้มักใช้ในผู้ที่มีภาวะตับอ่อนทำงานลดลง หรือผู้สูงอายุที่ร่างกายผลิตเอนไซม์น้อยลง ช่วยให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กลุ่มยาลดกรด (Antacids)

ออกฤทธิ์โดย ลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก แน่นท้อง หรือกรดเกิน ตัวอย่างเช่น

  • อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminium Hydroxide)
  • แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium Hydroxide)
  • แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate)

ยาลดกรดเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะกรดเกินจากการกินอาหารมันจัด เผ็ดจัด หรือดื่มกาแฟ ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลแร่ธาตุได้ และต้องระวังยาตีกันกับยาอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มยาฆ่าเชื้อกลุ่มควิโนโลน (Quinolones)

กลุ่มยาขับลม (Carminatives)

ช่วยลดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือมีลมในกระเพาะอาหาร ตัวอย่างเช่น

  • ซิมีไธโคน (Simethicone)

ยากลุ่มนี้ไม่ได้ช่วยย่อยอาหารโดยตรง แต่ช่วยให้รู้สึกสบายท้องมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มักมีอาการแน่นท้องจากแก๊ส

กลุ่มยาสมุนไพร

สมุนไพรไทยหลายชนิดมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน

ตัวอย่างเช่น

  • ขิง บรรเทาอาการท้องอืด ขับลม แน่นจุกเสียด
  • ยาธาตุอบเชย บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม
  • ยาธาตุบรรจบ บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และบรรเทาอาการอุจจาระธาตุพิการ ท้องเสียชนิดที่ไม่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อุจจาระไม่เป็นมูกหรือมีเลือดปน ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีไข้
  • ยาขมิ้นชัน บรรเทาอาการแน่นจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ห้ามใช้กับผู้ที่ท่อน้ำดีอุดตัน
  • ยาประสะกะเพรา บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และ ผู้ที่มีไข้

กินยาช่วยย่อยบ่อย ๆ ดีจริงไหม?

คำตอบคือ “ไม่ควร” หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะแม้ยาช่วยย่อยจะบรรเทาอาการได้ทันใจ แต่การใช้บ่อยเกินไปอาจรบกวนสมดุลของระบบย่อยอาหาร

  • ร่างกายอาจลดการสร้างเอนไซม์เอง เพราะได้รับจากภายนอกมากเกินไป
  • อาการแน่นท้องกลับมาเป็นซ้ำ หากไม่แก้ไขสาเหตุที่แท้จริง เช่น กินเร็ว เคี้ยวไม่ละเอียด หรือเครียดเกินไป
  • มีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ หรือแสบร้อนในท้อง

ดังนั้น หากมีอาการบ่อย ควรตรวจหาสาเหตุ เช่น กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร หรือตับอ่อนทำงานผิดปกติ

ความเสี่ยงและอันตรายจากการใช้ยาช่วยย่อยผิดวิธี

การใช้ยาช่วยย่อยโดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจนำไปสู่ผลเสีย เช่น

  • ทำให้ระบบย่อยอาหารขี้เกียจทำงาน เมื่อร่างกายได้รับเอนไซม์จากภายนอกเป็นประจำ
  • เสี่ยงต่อการระคายเคืองกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มยาลดกรด หากใช้เกินขนาด
  • เกิดปฏิกิริยากับยาอื่น เช่น ยาปฏิชีวนะหรือยาลดความดัน
  • ปิดบังอาการของโรคจริง เช่น แผลในกระเพาะหรือตับอ่อนอักเสบ ที่ควรได้รับการรักษาโดยตรง

หากมีอาการแน่นท้องหรือย่อยยากเกิน 2 สัปดาห์ ควรหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที

พฤติกรรมที่ทำให้อาหารย่อยยากมีอะไรบ้าง ?

พฤติกรรมที่ทำให้อาหารย่อยยากมีอะไรบ้าง

อาการอาหารไม่ย่อยไม่ได้เกิดจาก “โรค” เสมอไป แต่ส่วนใหญ่มักมาจากพฤติกรรมที่เราทำโดยไม่รู้ตัว เช่น

  • กินเร็ว เคี้ยวไม่ละเอียด เมื่อเคี้ยวอาหารเร็วเกินไป อาหารจะถูกบดเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้การทำงานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหารและลำไส้ทำได้ไม่เต็มที่ จึงเกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืดได้ง่าย
  • กินอาหารมันจัด เผ็ดจัด หรือหวานจัด อาหารที่มีไขมันสูงหรือมีรสจัดทำให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น ทำให้ย่อยอาหารช้าหรือเกิดกรดไหลย้อนในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว
  • นอนทันทีหลังกินอาหาร การเอนหรือนอนหลังกินอาหารทันทีทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนกลับได้ง่าย และยังทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ ควรรออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือกาแฟบ่อย เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีนมีผลกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดเพิ่มขึ้น และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัว จนเกิดกรดไหลย้อนหรือแน่นท้องได้
  • เครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะความเครียดส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายหลั่งกรดในกระเพาะมากเกินไปและลดการบีบตัวของลำไส้ จึงเกิดอาการแน่นท้องหรือท้องผูกได้ง่าย

ทางเลือกอื่นในการช่วยย่อยอาหารโดยไม่พึ่งยา

หากไม่อยากใช้ยาช่วยย่อยบ่อย ๆ สามารถลองปรับพฤติกรรมเหล่านี้แทนได้

  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวมาก ระบบย่อยยิ่งทำงานง่าย
  • กินช้า ๆ ไม่เร่งรีบ ช่วยให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยได้ตามธรรมชาติ
  • ดื่มน้ำอุ่นเล็กน้อยหลังอาหาร ช่วยกระตุ้นการย่อย
  • ออกกำลังกายเบา ๆ หลังมื้ออาหาร เช่น เดิน 10-15 นาที ช่วยลดอาการแน่นท้อง
  • เลือกอาหารย่อยง่าย เช่น ผัก ผลไม้ไม่เปรี้ยวจัด หรือโยเกิร์ตที่มีโพรไบโอติกส์
  • จัดการความเครียด เพราะฮอร์โมนความเครียดมีผลต่อการหลั่งน้ำย่อย

ยาช่วยย่อย เป็นตัวช่วยที่ดีในบางสถานการณ์ แต่ไม่ใช่คำตอบระยะยาว การใช้ยาบ่อย ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ควรแก้ที่ต้นเหตุและปรับพฤติกรรมร่วมด้วย เพื่อให้สุขภาพทางเดินอาหารแข็งแรงอย่างยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยาช่วยย่อย

Q1: ยาช่วยย่อยกินก่อนหรือหลังอาหารดี?
A: ส่วนใหญ่ควรกิน หลังอาหารทันที เพื่อช่วยการย่อย แต่บางชนิดแพทย์อาจแนะนำให้กินก่อนอาหาร ควรอ่านฉลากทุกครั้ง

Q2: ยาช่วยย่อยกับยาลดกรดเหมือนกันไหม?
A: ไม่เหมือนกัน หากหมายถึงกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ช่วยในทางเดินอาหารจะหมายถึงยาหลายๆกลุ่มประกอบกัน แต่หากหมายถึงยา “เอนไซม์” ช่วยย่อย จะหมายถึงยาที่ช่วย “ย่อยอาหาร” ส่วนยาลดกรดช่วย “ลดกรดในกระเพาะ” ในคนที่มีภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหาร หรือมีภาวะกรดไหลย้อน

Q3: ใช้ยาช่วยย่อยระยะยาวได้ไหม?
A:  ไม่ควร หากไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดสมดุลและเกิดผลข้างเคียงได้ ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น

Q4: ถ้าแน่นท้องบ่อยควรทำอย่างไร?
A: ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เพราะอาจมีโรคแฝง เช่น กรดไหลย้อน หรือแผลในกระเพาะ

 

ข้อมูลโดย

ภก.สุเมธ โก๊เจริญ
งานเภสัชกรรมคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 0 2201 1000 หรือ 0 2200 3000

 

ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 

Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ

RAMA Channel

บทความที่เกี่ยวข้อง

เช็กลิสต์ พฤติกรรมกัน โรคไตเรื้อรัง
พฤติกรรมเสี่ยงเล็ก ๆ ที่ทำทุกวันอาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังได้ เช็กลิสต์ดูเลยว่าคุณมีข้อไหนบ้าง พร้อมแนวทางปรับพฤติกรรมให้ไตแข็งแรงไปนาน ๆ
บทความสุขภาพ
23-11-2025

0

ยาช่วยย่อย กินบ่อย ๆ ช่วยได้จริง ? ไม่อันตราย ใช่หรือมั่ว
ยาช่วยย่อยกินบ่อย ๆ ดีจริงไหม? หลายคนใช้เพื่อบรรเทาแน่นท้องหรืออาหารไม่ย่อย แต่รู้หรือไม่ว่าการใช้ผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อระบบย่อยอาหาร มาดูข้อเท็จจริง
บทความสุขภาพ
22-11-2025

1

เอ็นร้อยหวายอักเสบ อาการที่สายสปอร์ตต้องระวัง
เอ็นร้อยหวายอักเสบเป็นอาการที่สายออกกำลังกายต้องระวัง เพราะอาจเกิดจากใช้งานหนัก วิ่งเยอะ หรือยืดเหยียดไม่พอ รู้สัญญาณเตือนและวิธีป้องกันก่อนเจ็บ
บทความสุขภาพ
21-11-2025

0

โรคเบาหวาน ภัยเงียบใกล้ตัวที่ป้องกันและจัดการได้
โรคเบาหวานคือภัยเงียบที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถป้องกันและจัดการได้ รู้สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลตัวเองเพื่อคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
บทความสุขภาพ
20-11-2025

0

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ
0 2201 1000
0 2200 3000

งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท
เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2201 0182
โทรสาร 0 2201 2127
อีเมล ramachannel24@gmail.com

© 2024, RAMA CHANNEL