โรคมะเร็งลำไส้ (Colorectal Cancer) เป็นหนึ่งในโรคร้ายที่พบได้บ่อยในคนไทยและทั่วโลก โดยเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์เยื่อบุภายในลำไส้ ซึ่งสามารถมีโอกาสเกิดได้ทั้ง ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ แต่โดยส่วนมากพบที่ลำไส้ใหญ่บ่อยกว่า ซึ่งอาการในระยะแรกมักไม่ชัดเจน ทำให้หลายคนมักตรวจพบเมื่อโรคเริ่มลุกลามแล้ว การรู้จัก อาการ สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง วิธีตรวจวินิจฉัย และแนวทางการรักษา จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผลดี รวมถึงการป้องกันโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
โรคมะเร็งลำไส้ คืออะไร ?
มะเร็งลำไส้ (Colorectal Cancer) คือ โรคที่เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์เยื่อบุในลำไส้ที่ผิดปกติและควบคุมไม่ได้ จนก่อให้เกิดก้อนเนื้อร้ายซึ่งสามารถลุกลามหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ โดยมะเร็งชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้ง ลำไส้เล็ก และ ลำไส้ใหญ่ แต่พบได้บ่อยที่สุดในลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
มะเร็งลำไส้มักเริ่มต้นจาก ติ่งเนื้อ ที่เกิดขึ้นบนผนังลำไส้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นติ่งเนื้อธรรมดา แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้ตรวจพบและตัดออก อาจพัฒนาเป็นมะเร็งภายในระยะเวลา 5-10 ปีได้ ความน่ากลัวของโรคนี้คือ อาการระยะแรกมักไม่ชัดเจน ทำให้หลายคนมักตรวจพบในระยะที่โรคลุกลามแล้ว
ในประเทศไทย มะเร็งลำไส้ถือเป็นหนึ่งใน 5 มะเร็งที่พบบ่อยที่สุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การรู้จักโรคนี้ตั้งแต่ต้น เข้าใจปัจจัยเสี่ยง และตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดโอกาสการเกิดและเพิ่มโอกาสรักษาให้หายขาดได้มากขึ้น
ความแตกต่างระหว่างมะเร็งลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่
- มะเร็งลำไส้เล็ก พบได้น้อย อาการมักคลุมเครือ เช่น ปวดท้อง อาเจียน คลื่นไส้
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก พบมากกว่า มักมีอาการท้องผูก หรือท้องผูกสลับท้องเสีย หรือ ถ่ายเป็นเลือด หรือ อาจพบโลหิตจางจากเลือดออก ซึ่งมักมาด้วยอาการเหนื่อยเพลีย ซีดลง และน้ำหนักลดผิดปกติ สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพิ่มเติมได้ที่นี่
อาการของมะเร็งลำไส้ เป็นอย่างไร ?
อาการของมะเร็งลำไส้จะแตกต่างกันไปตามระยะของโรค โดยระยะแรกมักไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงโรคทางเดินอาหารทั่วไป หากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดอาจทำให้วินิจฉัยช้าและโรคลุกลามได้
อาการระยะแรก
- ถ่ายอุจจาระมีเลือดปนหรือมูก
- ระบบขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โลหิตจางจากการเสียเลือด
- น้ำหนักลดเล็กน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการเมื่อโรคลุกลาม
- ปวดท้องรุนแรงหรือมีอาการจุกเสียดเรื้อรัง
- คลำพบก้อนที่หน้าท้อง
- น้ำหนักลดรวดเร็วผิดปกติ
- ท้องอืด อาเจียน หรือมีภาวะลำไส้อุดตัน
อาการในระยะแรกมักไม่เด่นชัด จึงควรใส่ใจสัญญาณผิดปกติของระบบขับถ่าย หากพบถ่ายเป็นเลือดหรือมีอาการเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองทันที
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ มีอะไรบ้าง ?
มะเร็งลำไส้เกิดจากการสะสมของเซลล์ผิดปกติในเยื่อบุลำไส้ โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลักดังนี้
- อายุ : ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มวัยหนุ่มสาว
- ประวัติครอบครัว : หากคนในครอบครัวมีประวัติมะเร็งลำไส้ หรือโรคทางพันธุกรรม เช่น Lynch Syndrome หรือ FAP จะมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป
- อาหารและพฤติกรรมการกิน : การบริโภคเนื้อแดง อาหารแปรรูป ไขมันสูง และใยอาหารต่ำเพิ่มความเสี่ยง ในขณะที่กินผัก ผลไม้ และธัญพืชช่วยลดความเสี่ยงได้
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต : การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย และมีภาวะอ้วน
- โรคประจำตัว : เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือติ่งเนื้อในลำไส้ที่ไม่ได้รับการรักษา
วิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งลำไส้เป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะช่วยให้แพทย์สามารถระบุได้ว่าผู้ป่วยมีภาวะมะเร็งจริงหรือไม่ รวมถึงประเมินระยะของโรคเพื่อกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยการตรวจแบ่งได้เป็น 2 ระดับหลัก คือ การตรวจคัดกรอง และ การตรวจยืนยัน
การตรวจคัดกรอง
- ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) วิธีมาตรฐานที่แพทย์ใช้ตรวจหาติ่งเนื้อหรือความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ หากพบติ่งเนื้อสามารถตัดออกได้ทันที จึงช่วยป้องกันการพัฒนาเป็นมะเร็ง
- FIT test (Fecal Immunochemical Test) ตรวจหาเลือดปนในอุจจาระ แม้ในปริมาณเล็กน้อย เหมาะสำหรับการตรวจเบื้องต้นประจำปีเพราะเป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย โดยหากผลผิดปกติจึงเข้าสู่ขั้นตอน Colonoscopy
- วิธีทางเลือกอื่น เช่น การตรวจ stool DNA, CT colonoscopy Barium enema เป็นต้น
การตรวจยืนยัน
- การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) หากตรวจพบก้อนผิดปกติ แพทย์จะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
- CT Scan / MRI ใช้ประเมินระยะการลุกลามและการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับ หรือปอด
วิธีรักษามะเร็งลำไส้
การรักษามะเร็งลำไส้ขึ้นอยู่กับ ระยะของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และตำแหน่งที่ก้อนมะเร็งเกิดขึ้น โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งประกอบด้วยการรักษาหลักและการรักษาเสริมดังนี้
การผ่าตัด
- วิธีหลักในการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- แพทย์จะผ่าตัดนำก้อนมะเร็งและส่วนของลำไส้ที่ได้รับผลกระทบออก พร้อมต่อปลายลำไส้เข้าด้วยกัน
- ในบางกรณีอาจต้องทำ “ทวารเทียม (Colostomy)” เพื่อให้ผู้ป่วยขับถ่ายทางหน้าท้องชั่วคราวหรือถาวร ขึ้นกับตำแหน่งมะเร็ง และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักของผู้ป่วย
- โดยปัจจุบันมีลักษณะการผ่าตัดอยู่สองแบบหลัก คือ การผ่าตัดแบบแผลเปิดใหญ่ และ การผ่าตัดแบบแผลเล็กโดยการส่งกล้อง ซึ่งผลการรักษาอัตราการรอดชีวิต เท่ากัน แต่การผ่าตัดส่องกล้องฟื้นตัวเร็วกว่า
เคมีบำบัดและรังสีรักษา
- เคมีบำบัด ใช้ยาทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง มักใช้ก่อน หรือ หลังการผ่าตัดเพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ หรือใช้ในผู้ป่วยที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว
- รังสีรักษา ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้กับมะเร็งลำไส้ตรง (Rectal Cancer) ทั้งก่อนหรือหลังการผ่าตัด
การรักษาแบบใหม่
- Targeted Therapy ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง ทำให้ผลข้างเคียงน้อยกว่าวิธีทั่วไป
- Immunotherapy กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้จดจำและโจมตีเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน
สามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อย่างไร ?
แม้ว่ามะเร็งลำไส้จะมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง แต่ก็สามารถลดโอกาสการเกิดโรคได้ หากปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและใส่ใจการตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แนวทางการป้องกันที่ได้ผล ได้แก่
- ตรวจคัดกรองตามวัยและความเสี่ยง เริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป แม้ไม่มีอาการ หากมีประวัติครอบครัวควรเริ่มตรวจเร็วกว่านั้น การส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy) และ FIT test เป็นวิธีที่ช่วยตรวจเจอและป้องกันได้ตั้งแต่ต้น
- กินอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืช และอาหารที่มีกากใยสูง ลดการบริโภคเนื้อแดงและอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วน ซึ่งสัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้
- เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- จัดการโรคประจำตัว ผู้ที่มีภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือเคยพบติ่งเนื้อในลำไส้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ
ใครควรตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้
- ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจคัดกรองแม้ไม่มีอาการ และตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น Colonoscopy ทุก 5-10 ปี หรือ FIT test ปีละครั้ง
- หากมีบิดา มารดา หรือพี่น้องสายตรงที่เคยป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ จะมีความเสี่ยงจะสูงกว่าคนทั่วไป ควรเริ่มตรวจเร็วกว่าปกติ อาจเริ่มตั้งแต่อายุ 40 ปี หรือตามอายุที่ญาติเริ่มป่วย ลบออกไป 10 ปี
- ผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรม เช่น Lynch Syndrome หรือ FAP (Familial Adenomatous Polyposis)
- ผู้ที่เคยมีติ่งเนื้อในลำไส้
- ผู้ที่มีโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) เช่น Crohn’s disease หรือ Ulcerative colitis
- ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น อ้วน สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
มะเร็งลำไส้เป็นโรคร้ายที่หลายครั้งไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก การรู้จักอาการ สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และการเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสรักษาหายและลดความรุนแรงของโรคได้
คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้
- มะเร็งลำไส้พบมากในอายุเท่าไร ?
มักพบในผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี - มะเร็งลำไส้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือไม่ ?
มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคมะเร็งลำไส้ - ควรตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้เมื่อไร ?
แนะนำให้เริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป หรือตามคำแนะนำของแพทย์ - การรักษามะเร็งมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?
อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ผมร่วง ขึ้นกับวิธีการรักษา - มะเร็งลำไส้สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?
หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น มีโอกาสรักษาหายสูง
ข้อมูลโดย
รศ. นพ.ไชยรัตน์ ทรัพย์สมุทรชัย
วว.ศัลยศาสตร์มะเร็งวิทยา สาขาวิชาทางเดินอาหารและศัลยศาสตร์ทั่วไป ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คลิกชมคลิป “ลดความเสี่ยง “มะเร็งลำไส้” Cancer Journey ตอน 5” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










