อาการ “อัณฑะอักเสบ” ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กของผู้ชายที่เจ็บหรือบวมชั่วคราวเท่านั้น เพราะเบื้องหลังอาการปวด บวม หรือแดง อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลให้เกิดภาวะอัณฑะฝ่อได้โดยไม่รู้ตัว! บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจโรคอัณฑะอักเสบแบบครบทุกมุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การรักษา ไปจนถึงวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและดูแลสุขภาพได้อย่างปลอดภัยก่อนจะสายเกินไป
สรุปข้อมูลสำคัญ
- ชื่อโรค : อัณฑะอักเสบ (Orchitis)
- อวัยวะที่ได้รับผลกระทบ : อัณฑะ (ลูกอัณฑะ)
- สาเหตุหลัก : การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส เช่น คางทูม
- กลุ่มเสี่ยง : วัยรุ่นถึงผู้ใหญ่ที่มีเพศสัมพันธ์, ผู้ไม่ได้รับวัคซีนคางทูม
- อาการสำคัญ : เจ็บ บวม แดง บริเวณอัณฑะ อาจมีไข้ร่วมด้วย
- ภาวะแทรกซ้อน : ฝีในอัณฑะ, อัณฑะฝ่อ
- อัปเดตล่าสุด : 10 ตุลาคม 2025
- แหล่งอ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
อัณฑะอักเสบ คืออะไร ?
อัณฑะอักเสบ (Orchitis) คือ ภาวะที่เกิดการอักเสบของอัณฑะ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย การอักเสบนี้อาจเกิดขึ้นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่แพร่เข้าสู่อัณฑะผ่านทางกระแสเลือด หรือบางกรณีอาจลุกลามมาจากอวัยวะข้างเคียง เช่น หลอดน้ำอสุจิ (epididymis) แม้ชื่อโรคจะฟังดูไม่ร้ายแรง แต่ในความเป็นจริง หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจทำให้เกิดการบวม อักเสบรุนแรง และมีผลต่อการผลิตสเปิร์มในระยะยาวได้
อัณฑะอักเสบ เกิดจากอะไร ?
สาเหตุของ “อัณฑะอักเสบ” (Orchitis) มักเกิดจากการติดเชื้อเป็นหลัก โดยเชื้อสามารถเข้าสู่อัณฑะผ่านทางกระแสเลือด หรือแพร่กระจายมาจากอวัยวะข้างเคียง เช่น หลอดน้ำอสุจิ (epididymis) หรือทางเดินปัสสาวะ ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
การติดเชื้อแบคทีเรีย
พบได้บ่อยในผู้ชายวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน สาเหตุหลักคือเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น
- เชื้อหนองในแท้ (Neisseria gonorrhoeae)
- เชื้อหนองในเทียม (Chlamydia trachomatis)
นอกจากนี้ การติดเชื้อแบคทีเรียจากระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น การอักเสบของต่อมลูกหมาก หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็อาจลุกลามมายังอัณฑะได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่สายสวนปัสสาวะบ่อยหรือมีปัญหาการขับปัสสาวะ
การติดเชื้อไวรัส
ไวรัสที่ทำให้เกิดอัณฑะอักเสบได้บ่อยที่สุดคือ ไวรัสคางทูม (Mumps virus) ซึ่งพบในผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน หลังติดเชื้อคางทูมประมาณ 4–10 วัน ไวรัสอาจลุกลามไปที่อัณฑะ ทำให้เกิดการอักเสบ บวม และเจ็บ ซึ่งในบางรายอาจเกิดการอักเสบทั้งสองข้างพร้อมกัน
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เพิ่มโอกาสเกิดอัณฑะอักเสบ
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน
- การผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ
- ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ
อาการของอัณฑะอักเสบ เป็นอย่างไร ?
อาการของอัณฑะอักเสบมักเริ่มจากอาการเจ็บเล็กน้อยก่อนจะรุนแรงขึ้นในเวลาไม่นาน โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- เจ็บและปวดหน่วงบริเวณอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง
- อัณฑะบวม แดง และร้อน
- มีไข้ หนาวสั่น หรืออ่อนเพลีย
- ปวดบริเวณขาหนีบ หรือส่วนล่างของท้อง
- บางรายอาจมีหนองหรือน้ำคัดหลั่งจากปลายอวัยวะเพศ
วิธีรักษา อัณฑะอักเสบ
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของการอักเสบ ดังนี้
- กรณีติดเชื้อแบคทีเรีย : แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline หรือ Ciprofloxacin ร่วมกับยาแก้ปวดและลดบวม ผู้ป่วยควรกินยาให้ครบตามกำหนดเพื่อป้องกันการดื้อยา
- กรณีติดเชื้อไวรัส : เช่น คางทูม มักรักษาแบบประคับประคอง เช่น พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ ประคบเย็นเพื่อลดบวม และใช้ยาแก้ปวดตามอาการ
- การดูแลเพิ่มเติม :
- สวมกางเกงชั้นในที่พยุงอัณฑะได้ดี
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกกำลังกายหนัก
- หากมีหนองหรือฝี อาจต้องผ่าตัดระบายหนองออก
การป้องกันอัณฑะอักเสบ
การป้องกันโรคนี้สามารถทำได้ด้วยพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง เช่น
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ฉีดวัคซีนคางทูม (MMR Vaccine) ตั้งแต่เด็ก หรือฉีดกระตุ้นหากไม่เคยได้รับมาก่อน
- รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ และปัสสาวะให้หมดทุกครั้ง
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การดูแลสุขอนามัยและใส่ใจร่างกายของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้มาก
อัณฑะอักเสบ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะหากละเลยอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ ทั้งการติดเชื้อรุนแรงหรือมีบุตรยากในอนาคต หากมีอาการปวด บวม แดง บริเวณอัณฑะ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี การใส่ใจสัญญาณเตือนเล็ก ๆ ของร่างกาย อาจช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคตได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ อัณฑะอักเสบ
Q1: อัณฑะอักเสบหายเองได้ไหม ?
A: หากเกิดจากไวรัสบางชนิด เช่น คางทูม อาจหายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์ แต่หากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง
Q2: อัณฑะอักเสบมีผลต่อการมีบุตรหรือไม่ ?
A: มีผลได้ในบางกรณี โดยเฉพาะหากเกิดการอักเสบรุนแรงหรือเป็นสองข้าง อาจทำให้การผลิตสเปิร์มลดลง
Q3: อัณฑะอักเสบกับมะเร็งอัณฑะ ต่างกันอย่างไร ?
A: อัณฑะอักเสบคือการอักเสบจากการติดเชื้อ ส่วนมะเร็งอัณฑะคือเนื้องอกที่เกิดจากเซลล์ผิดปกติ ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อแยกโรคให้แน่ชัด
Q4: สามารถออกกำลังกายได้ไหมระหว่างเป็นอัณฑะอักเสบ ?
A: ควรงดกิจกรรมหนักชั่วคราว โดยเฉพาะการยกของหนักหรือเคลื่อนไหวมาก เพื่อไม่ให้อาการบวมและเจ็บรุนแรงขึ้น
ข้อมูลโดย
รศ. นพ.ชินเขต เกษสุวรรณ
สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร 0 2201 1000 หรือ 0 2200 3000
คลิกชมคลิป “ลัดคิวหมอ – อัณฑะอักเสบ! เจ็บ บวม แดง อันตรายกว่าที่คิด” ได้ที่นี่
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










