อาการปวดหัวข้างเดียว อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดจากการพักผ่อนน้อยหรือความเครียด แต่ในความจริงแล้ว อาจเป็น “สัญญาณเตือน” ของโรคสำคัญที่ร่างกายพยายามบอกคุณ หากปล่อยไว้โดยไม่ใส่ใจ อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ ดังนั้น การเข้าใจสาเหตุและรู้ว่าเมื่อไรควรพบแพทย์จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ปวดหัวข้างเดียวคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
อาการปวดหัวข้างเดียว คือ ภาวะที่ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บหรือปวดเฉพาะด้านหนึ่งของศีรษะ ไม่ว่าจะ ปวดหัวด้านซ้าย หรือ ปวดหัวด้านขวา ซึ่งอาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือเป็น ๆ หาย ๆ สาเหตุมีได้หลากหลาย ตั้งแต่ความเครียด ภาวะขาดน้ำ การนอนหลับไม่เพียงพอ ไปจนถึงความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง
โดยทั่วไป การปวดหัวข้างเดียวจะเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ คอ และไหล่ หรือเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงดันหรือการไหลเวียนเลือดที่ไม่ปกติในบางส่วนของสมอง หากเกิดบ่อยครั้งหรือรุนแรงขึ้น ควรรีบหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นอาการของโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่
ปวดหัวข้างเดียว บอกโรคอะไรได้บ้าง
อาการ “ปวดหัวข้างเดียว” ไม่ได้เกิดจากแค่ความเครียดหรือการพักผ่อนไม่พอเสมอไป แต่ยังอาจเป็น “สัญญาณเตือน” ของโรคหลายชนิดที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย หากรู้เท่าทันตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถรักษาได้อย่างถูกต้องและป้องกันไม่ให้ลุกลามเป็นปัญหาเรื้อรัง มาดูกันว่าอาการนี้อาจบ่งบอกถึงโรคอะไรได้บ้าง
1. ไมเกรน (Migraine)
ไมเกรน คือ สาเหตุยอดฮิตของอาการปวดหัวข้างเดียว โดยมักเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดในสมองและสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตุ๊บ ๆ ข้างเดียว โดยเฉพาะบริเวณขมับหรือรอบตา อาจมีอาการร่วม เช่น คลื่นไส้ แพ้แสง เสียงดัง หรือมองเห็นแสงวาบก่อนเริ่มปวด
ปัจจัยกระตุ้นมีหลายอย่าง เช่น ความเครียด การอดนอน ฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน หรืออาหารบางชนิดอย่างช็อกโกแลต กาแฟ และไวน์แดงแม้ไมเกรนจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก การพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาป้องกันหรือบรรเทาเฉพาะราย จะช่วยควบคุมอาการได้ดีขึ้น
2. ปวดหัวจากความเครียด (Tension Headache)
ปวดหัวจากความเครียดมักเกิดจากการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ คอ และบ่า ทำให้รู้สึกปวดแบบตื้อ ๆ หนัก ๆ คล้ายมีสายรัดรอบศีรษะ บางรายอาจปวดข้างเดียว โดยเฉพาะหากใช้ร่างกายข้างนั้นมาก เช่น ใช้เมาส์หรือมือถือเป็นเวลานาน
สาเหตุหลักคือความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่พอ หรือนั่งทำงานท่าเดิมนาน ๆ การบรรเทาทำได้ด้วยการยืดกล้ามเนื้อเบา ๆ พักสายตา และหลีกเลี่ยงความเครียด ถ้าอาการเกิดขึ้นบ่อยหรือรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์ เพราะบางครั้งอาการนี้อาจซ้อนทับกับไมเกรนหรือโรคอื่น ๆ ได้
3. ปวดหัวจากความดันโลหิตสูง
อาการปวดหัวจากความดันโลหิตสูงมักเกิดขึ้นในช่วงเช้า โดยรู้สึกเหมือนศีรษะตึงแน่นหรือเต้นตุ้บ ๆ ข้างเดียว บางรายมีอาการตามัว หรือเสียงดังในหูร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากความดันในหลอดเลือดสมองที่สูงเกินไป
ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง หัวใจวาย หรือไตวาย ดังนั้น หากมีอาการปวดหัวร่วมกับมึนงง หรือเห็นดาววูบวาบ ควรวัดความดันและพบแพทย์โดยเร็ว การลดเค็ม ลดน้ำตาล ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของอาการนี้ได้
4. ปวดหัวจากไซนัสอักเสบ
ไซนัสอักเสบเกิดจากการติดเชื้อหรือภูมิแพ้ ส่งผลให้โพรงอากาศในกระดูกใบหน้ามีการอักเสบและเกิดแรงดันภายใน ผู้ป่วยมักรู้สึกปวดบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม หรือรอบดวงตา และบางครั้งอาการจะเด่นข้างเดียว โดยเฉพาะเวลาก้มศีรษะ
อาการร่วมอาจมีน้ำมูกข้น คัดจมูก หรือไอเรื้อรัง การรักษาคือพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก และอาจต้องใช้ยาลดการอักเสบหรือยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง หากเป็นซ้ำบ่อย ควรตรวจหาภูมิแพ้หรือโครงสร้างโพรงจมูกผิดปกติ เพื่อป้องกันการอักเสบเรื้อรังที่อาจลามถึงหูหรือระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง
5. ปวดหัวจากเส้นประสาทอักเสบ (Occipital Neuralgia)
เส้นประสาทท้ายทอยเป็นเส้นประสาทที่ทอดจากต้นคอไปยังศีรษะด้านหลัง เมื่อเกิดการอักเสบ จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดแปลบหรือจี๊ดคล้ายไฟฟ้าช็อต บางรายปวดข้างเดียว และร้าวจากต้นคอขึ้นไปถึงกระหม่อม
สาเหตุอาจเกิดจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือเกิดจากอุบัติเหตุที่คอ การรักษาทำได้โดยพักกล้ามเนื้อ ประคบร้อน หรือนวดเบา ๆ หากอาการไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย เพราะบางกรณีอาจต้องใช้ยาแก้อักเสบหรือฉีดยาคลายกล้ามเนื้อร่วมด้วย
6. ปวดหัวจากโรคไตหรือความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด
อาการปวดหัวข้างเดียวอาจเกี่ยวข้องกับโรคไตหรือภาวะเลือดคั่ง ซึ่งเกิดจากการที่ไตไม่สามารถกรองของเสียได้ตามปกติ ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและเกิดแรงดันต่อหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหัวร่วมกับบวมตามตัว เหนื่อยง่าย หรือปัสสาวะผิดปกติ
โรคนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะหากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อหัวใจและสมอง การตรวจเลือดและปัสสาวะสม่ำเสมอ รวมถึงควบคุมอาหารเค็ม จะช่วยลดภาระของไตและป้องกันภาวะปวดหัวเรื้อรังจากความดันเลือดที่ผิดปกติได้
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
แม้อาการปวดหัวข้างเดียวบางครั้งอาจหายได้เอง แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลันหรือปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มองเห็นภาพซ้อน หรือแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย
- ปวดหัวหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
- ปวดหัวร่วมกับไข้สูงหรือคอแข็ง
- ปวดหัวในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันสูง หรือเบาหวาน
การตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์จะช่วยหาสาเหตุที่แท้จริงและให้การรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อลดอาการปวดหัวข้างเดียว
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำให้มาก เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มกระตุ้นไมเกรน เช่น ช็อกโกแลต กาแฟ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- จัดท่านั่งทำงานให้ถูกต้อง ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อคอและบ่า
- ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินหรือโยคะ เพื่อคลายความเครียด
- ประคบเย็นหรืออุ่นบริเวณที่ปวด ช่วยลดการเกร็งของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการได้
ปวดหัวข้างเดียว ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคสำคัญ ตั้งแต่ไมเกรน ความดันสูง ไปจนถึงความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด การสังเกตอาการร่วมและพบแพทย์เมื่อจำเป็นจะช่วยให้รักษาได้ทันท่วงที และหากดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลโดย
อ. พญ.ธนนันท์ ธรรมมงคลชัย
สาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตาม Rama Channel เพื่อรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: RAMA Channel
Facebook: รามาแชนแนล Rama Channel
LINE: Ramathibodi
TikTok: ramachanneltv รามาแชนแนล ช่องของคนรักสุขภาพ










