ตะลุยเที่ยว...สมุทรปราการ ลั้นลา หรรษา ใกล้รามา-จักรี (ตอนที่ 1)

1. วัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง

เราไปถึงวัดช่วงสายแล้ว วัดก็ยังคึกคักไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้หลวงพ่อโต พระพุทธรูปวารีปาฏิหาริย์ (ลอยมาทางน้ำ) บรรยากาศวัดร่มรื่น ลมพัดเย็นสบาย เพราะวัดตั้งอยู่ติดริมคลองสาโรง ถ้าเอ่ยชื่อถึงบางพลีแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงประเพณีรับบัวหนึ่งเดียวในโลก ซึ่งจัดที่วัดแห่งนี้ ประเพณีที่เปรียบเสมือนสายใยแห่งความกลมเกลียว เป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน ระหว่างชาวไทย ชาวลาว และชาวรามัญ โดยประเพณีรับบัวจะจัดขึ้นในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ในปีนี้ตรงกับวันที่ 4 ตุลาคม 2560 หลังจากเราทาบุญด้วยใจชื่นบานเสร็จแล้ว ที่พลาดไม่ได้ในวัดแห่งนี้คือ “สุขาไฮเทค” ภายในวัด ที่ใครที่ไปถึงที่วัดจะต้องไปเยี่ยมชม นั่งเล่น ถ่ายภาพกัน เรียกว่าพลิกมิติใหม่ห้องน้าวัดไปโดยสิ้นเชิง เย็นสบายอุรา จริงจริ๊ง...งงงง

4. วัดอโศการาม

พอมาถึงวัดเราได้เห็น “พระธุตังคเจดีย์” สีขาวสว่างตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พาให้จิตใจเราสงบขึ้นมาได้บ้าง

พระธุตังคเจดีย์นี้เป็นปูชนียสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ “ธุตังคเจดีย์” เป็นเจดีย์หมู่ 13 องค์ 3 ชั้นแห่งเดียวในประเทศไทยที่เป็นสัญลักษณ์และมีความหมายในธุดงควัตร 13 ข้อ ในพระพุทธศาสนาของกรรมฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อพวกเราทั้งหลายปฏิบัติ เพื่อสละโลกามิส ไม่ติดอยู่ในบ่วงของโลก เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานภาวนา ตรงข้ามกับพระธุตังคเจดีย์เป็นที่ตั้งของวิหารสุทธิธรรมรังสี ซึ่งกำลังซ่อมบารุงอยู่แต่ก็เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ ภายในวิหารชั้น 3 เป็นที่ตั้งของพระประธาน “พระพุทธชินราชจาลอง”  และยังเป็นที่ตั้งศพของท่านพ่อลี ธมิมธโร เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดอโศการาม ซึ่งบรรจุเก็บไว้ภายในหีบทอง ตั้งอยู่บนแท่นประดับมุกอันสวยงาม ภายในวัดเงียบสงบ เนื่องจากมีการปฏิบัติธรรมกัน ด้านซ้ายมือของวิหารสุทธิธรรมรังสี คือ อนุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรบริษัทบริวารของพระองค์ได้ ออกบวชในพระพุทธศาสนาช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้ขยายออกไปยังประเทศทั้งหลาย เช่น ลังกา กรีก ซีเรีย อียิปต์จีน ธิเบต พม่า และไทย พระพุทธศาสนาจึงได้สถิตสถาพร ณ ดินแดนเหล่านี้

5. สถานตากอากาศบางปู

สุดท้ายของวัน ไม่มาไม่ได้ที่นี่บรรยากาศยามเย็นของสถานตากอากาศบางปูนี่มันช่างอภิรมย์จริง ๆ ทันที ที่ก้าวเท้าลงจากรถเราเห็นป้าย “สะพานสุขตา” ตั้งอยู่ข้างหน้าเราเดินไปตามสะพานที่ทอดยาวลงทะเลอ่าว ไทย พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำใกล้ลับขอบฟ้าไป ซึ่งตอนที่เราไปไม่ใช่ช่วงที่นกนางนวลอพยพ (นกนางนวล อพยพในช่วงตุลาคมถึงพฤษภาคม) เราจึงเห็นท้องฟ้าแบบไร้นกที่ปกติบินวนอยู่โดยรอบ จุดมุ่งหมายสุดท้ายท้ายของทริปวันนี้คือ อาหารเย็น ณ “ศาลาสุขใจ” อร่อยกับอาหารทะเล ชมพระอาทิตย์ตกตอนเย็น ก้าวเข้าสู่ศาลาสุขใจภายในมีร้านค้าสวัสดิการเล็ก ๆ และประวัติสถานตากอากาศบางปูเขียนไว้สถานตากอากาศบางปูสร้างขึ้นในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ท่านเดินทางไป ราชการจังหวัดชลบุรีผ่านมาถึงบริเวณนี้เห็นว่าพื้นที่นี้มีลมพัดเย็นสบายและไม่ห่างจากพระนครจึงจัดซื้อที่ดินบริเวณนี้มาก่อสร้าง เพื่อเป็นที่พักผ่อนตากอากาศของบุคคลทั่วไป

ปัจจุบันนี้สถานตากอากาศบางปูอยู่ภายใต้การดูแลของกรมพลาธิการทหารบกศาลาสุขใจ มีเมนูอาหารให้เลือกมากมายในราคาย่อมเยาอีกด้วยเราก็เดินหน้าสั่งลุยทั้ง หลนปูกับผักสดแกงส้ม ชะอมกุ้งกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ทอดมันกุ้ง บลา บลา บลา... ที่จะช่วยชาร์จพลังให้เราก่อนที่จะเดิน ทางกลับกรุงเทพฯถ้าเราเดินทางกลับรามา-จักรีคงจะดีเพราะระยะทางห่างกัน แค่20 นาทีเองง่ะ (แอบอิจฉาชาวรามาจักรีเค้าจัง)