4. อาการแทรกซ้อนอื่นๆ (Other complications)
-
ผลจากตัวทำละลาย: ผลิตภัณฑ์ที่เป็นชนิดพ่นอัดก๊าซจะเป็นสูตรที่มีตัวทำละลายผสมอยู่ ซึ่งอาจเป็นน้ำมันก๊าด บางครั้งอาการพิษที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลจากตัวทำละลายเหล่านั้นมากกว่าความเป็นพิษ ของ organophosphate เอง ซึ่งจัดเป็นภาวะแทรกซ้อนสำคัญที่มักเกิดขึ้นด้วย ตัวทำละลายดังกล่าวจะกดการทำงานของสมอง ทำให้ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ และถ้าเป็นชนิดที่มีความหนืดต่ำ (low vicosity) ก็อาจทำให้เกิด chemical pneumonitis ตามมาได้
-
Torsade de Pointes: ในรายที่เกิดภาวะเป็นพิษรุนแรง ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตจากการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจได้ ในผู้ป่วยบางรายพบว่ามี QT interval prolongation และ malignant venticular arrhythmia อาการมักไม่ปรากฏให้เห็นในระยะแรก แต่อาจเกิดหลังจากที่ผู้ป่วยดูเหมือนมีอาการทางระบบการหายใจ และระบบประสาทดีขึ้น แต่เมื่อเกิด Torsade de Point แล้ว มักจะมีภาวะ sudden death ตามมาได้ ภาวะเป็นพิษต่อหัวใจนี้ยังไม่ทราบกลไกการเกิดที่พอจะอธิบายได้ชัดเจน ข้อควรระวังในสาเหตุการตายนี้คือ ถ้าผู้ป่วยมีอาการ tachyarrhythmia จำเป็นต้องมีการ monitor EKG จนกว่า QT interval จะปกติในรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจต้องพิจารณาทำ electrical pacing
-
Pancreatitis: มีรายงานในผู้ป่วยหลายรายและมีอุบัติการณ์การเกิดที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยจะมีอาการของ acute pancreatitis เพียงเล็กน้อย บางรายอาจมีเพียง painless hemorrhagic pancreatitis อย่างไรก็ตามยังมีรายงานการเกิด acute severe hemorrhage pancreatitis จากการกินสารเคมีกำจัดแมลงกลุ่ม anticholinesterase พยาธิสภาพที่ตับอ่อนถูกทำลายนี้ อาจเกิดจากการมี cholinergic stimulation มากเกินไปทำให้มีการเพิ่มขึ้น ของ pancreatic intraductal pressure ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิด pancreatic secretion มากขึ้นด้วย
-
Diabetic insipidus (DI): ในผู้ป่วยบางรายอาจพบภาวะ polyurea จากปัญหา DI ได้อีกด้วย
การพยากรณ์โรค (Prognosis)
-
ผู้ป่วยบางรายอาจเสียชีวิตจาก immediate complication คือ เกิดภาวะผิดปกติในการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ และระบบประสาท นอกจากนี้ยังอาจมีอาการแทรกซ้อนที่พบได้ในระยะยาว ซึ่งได้แก่ polyneuropathy หรือ behavior change แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจหายกลับมาเป็นปกติ โดยไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ เหลืออยู่เลย
การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory diagnosis)
-
จากการที่ organophosphate มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของ AChE ดังนั้นการตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัย และประเมินความรุนแรงของภาวะเป็นพิษคือการตรวจหา cholinesterase activity ส่วนการตรวจหา parent compound หรือ metabolite ของ organophosphate นั้น ไม่มีประโยชน์ทั้งในทางปฏิบัติและในการนำมาใช้ทางคลินิก
-
ChE มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน ชนิดแรกคือ pseudocholinesterase สามารถตรวจพบได้ใน human plasma ซึ่งในภาวะปกติไม่ได้ทำหน้าที่ ใดๆ ในร่างกาย ชนิดที่ 2 คือ true cholinesterase หรือ acetylcholinesterase ซึ่งจะตรวจพบได้ในเม็ดเลือดแดง และ NMJ true cholinesterase นี้จะมีความสัมพันธ์อย่างมากกับภาวะเป็นพิษจาก organophosphate การแปลผลของ cholinesterase activity จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากค่าปกติมีช่วงที่กว้างมาก รวมทั้งยังมี โรคทางพันธุกรรมบางโรคที่อาจมีภาวะพร่อง enzyme (pseudochoinesterase deficiency) ซึ่งจะพบว่า enzyme นี้มีปริมานน้อยได้ เช่นกัน
-
ในผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ หรือในรายที่ได้รับสารแบบเรื้อรัง อาจพบว่ามีค่าของ cholinesterase enzyme ที่ระดับต่ำ ค่าดังกล่าวมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละบุคคลด้วย ในทางปฏิบัติเราเปรียบเทียบ ระดับที่ตรวจวัดได้กับค่าปกติ แม้จะไม่ดีนักแต่ก็พอจะอธิบายความรุนแรงของภาวะเป็นพิษได้ เช่น ถ้าระดับของ enzyme ที่ตรวจวัดได้มีค่ามากกว่า 50% ของระดับ enzyme ปกติ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดๆให้เห็นเลย (asymptomatic) ถ้า enzyme อยู่ในระดับที่ 20-50% ของค่าปกติ ผู้ป่วยอาจมีอาการเล็กน้อย (mild poisoning) แต่ถ้าอยู่ในระดับที่ 10-20% ของค่าปกติ ผู้ป่วยมักอยู่ในภาวะ moderate poisoning และในกรณี severe poisoning ระดับของ enzyme ที่ตรวจวัดได้จะน้อยกว่า 10% ของค่าปกติ (หรือตรวจวัดไม่ได้เลย) หลังจากที่ผู้ป่วยหายกลับมาเป็นปกติ ระดับของ enzyme ดังกล่าวจะค่อยๆปรับเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานในผู้ป่วยที่เป็นพิษรุนแรง เนื่องจาก enzyme ถูกกดและลดระดับลงไปมากนั่นเอง
-
การตรวจวัดทางชีวภาพอื่นๆ เช่น ABG, electrolyte, blood sugar, LFT, BUN, creatinine, EKG monitoring และ CXR จะมีความจำเป็นตามระดับความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยแต่ละราย
การรักษา (Treatment)
-
1. Decontamination:
-
เป็นการลดการดูดซึมของสารพิษที่จะเข้าสูร่างกาย วิธีการทำขึ้นอยู่กับทาง (route) ที่ผู้ป่วยได้รับสาร ซึ่งจัดเป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องทำเป็นอันดับต้นๆของการรักษา กรณีที่มีการตกค้างของสารอยู่แม้จะเป็นที่ผิวหนังก็สามารถดูดซึมได้ดี และอาจเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษได้ยาวนานมากขึ้นได้
-
2. Supportive treatment:
-
การให้การรักษาตามอาการเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในผู้ป่วยที่เกิดภาวะเป็นพิษขึ้น คือต้องให้การดูแลตามระบบต่างๆ ซึ่งได้แก่ airway, breathing, circulatory นอกจากนี้ยังพบว่าการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย และมักเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ เนื่องจากผู้ป่วยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน
-
3. Antidote: ยาต้านพิษของ organophosphate มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
-
-
3.1 Atropine:
-
เป็น noncompetitive antagonist ของ muscarinic receptors สามารถแก้อาการของ parasympathetic ที่ถูกกระตุ้นมากเกินไป เช่น รูม่านตาเล็ก มีสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจมาก หัวใจเต้นช้า ท้องเสีย ขนาดของ atropine ที่จะให้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ อาจให้ได้ตั้งแต่จำนวนเล็กน้อยไปจนถึงเป็นพันมิลลิกรัม สิ่งสำคัญคือการปรับขนาดของยาให้เพียงพอที่จะหยุด cholinergic signs และ symptoms ให้ได้ ในระยะแรกอาจต้องให้ loading dose จำนวนมากเพื่อแก้อาการของ parasympathetic overactivity ที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงให้เป็น maintenance dose เพื่อควบคุมอาการที่ยังเหลืออยู่ บางครั้งในรายที่รุนแรงอาจต้องพิจารณาให้ atropine ก่อนการทำ GI decontamination ขนาดของยาที่ให้เริ่มจาก 1-4 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่ หรืออาจมากกว่านั้นในรายที่มีอาการรุนแรง และให้ซ้ำได้ใน 5-15 นาที ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยา บางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องให้เป็น continue IV infusion เพื่อรักษาระดับยาในภาวะ atropinized โดยใช้ปริมาณสารคัดหลั่ง ขนาดของรูม่านตา และอาการด้าน parasympathetic อื่นๆ เป็นตัวบ่งชี้ ประเมินผลของยาจาก การลดลงของ bronchial secretion, ปาก-คอแห้ง, และ หัวใจเต้นเร็ว end point ของการรักษาก็เพื่อควบคุมอาการทาง parasympathetic ที่ถูกกระตุ้นอย่างมาก ข้อสำคัญอีกข้อคือต้องไม่ไห้เกิดภาวะ overtreat จากการให้ atropine มากเกินขนาด atropine ไม่มีผลต่อ nicotinic receptor (ที่ NMJ) การให้ atropine ควรลด dose ลงอย่างช้าๆ แต่ถ้ามีอาการกลับขึ้นมาอีก ก็ต้องปรับ ขนาดของ atropine ให้ตามอาการของผู้ป่วยอีกครั้ง
-
3.2 Oximes
-
Oximes มีหลายชนิด ที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่ pralidoxime (2-PAM) ซึ่งจะเป็นยาที่ reactivate enzyme จากการจับของ organophosphate และสามารถแก้ภาวะ nicotinic action ที่ NMJ เช่น fasciculation, กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาการที่ sympathetic ganglion เช่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ 2-PAM ยังทำหน้าที่ antagonize muscarinic action ใน parasympathetic system
-
2-PAM เป็นสารประกอบ quaternary ammonium ไม่สามารถผ่าน blood brain barrier เข้าสู่สมองได้ แต่ก็มีรายงานในผู้ป่วย บางรายที่พบว่ายาสามารถผ่านเข้าสู่สมองได้มากพอที่จะทำให้ตรวจพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของ EEG ได้ ขนาดของยาที่จะให้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการพิษที่เกิดขึ้น อาจเริ่มจากขนาดสูงๆ เพื่อควบคุมอาการ หลังจากนั้นอาจต้องให้เป็น maintenance dose ถ้าจำเป็น (ตารางที่ 4)
-
Aging phenomenon
-
เป็นภาวะที่เกิดจากการที่ organophosphate จับตัวกับ AChE โดยผ่านกระบวนการ phosphorylation 2-PAM จะไป reactivated AChE โดยการดึง phosphorus ออกมา 1 ตัว เกิดเป็น oxime phosphonate แล้วแยกตัวออก regenerate enzyme ขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม phosphorylate AChE ก็สามารถเปลี่ยนจากปฏิกริยา hydrolysis ทำให้เสีย alkyl group เราเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่า aging ของ enzyme aged enzyme ที่ได้ จะต้านการ reactivated ของ 2-PAM ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ระยะเวลาของการเกิด enzyme aging จะแตกต่างกันตามชนิดของ organphosphate ถ้าเป็นชนิดที่ใช้ในสงคราม เช่น sarin, VX ภาวะ enzyme aging นี้จะเกิดภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังได้รับสารพิษ แต่ถ้าเป็นชนิดที่ใช้ในงานเกษตรกรรมทั่วไป ปรากฏการณ์นี้อาจเกิดในเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันหลังจากได้รับสารพิษ ในทางปฏิบัติแล้วเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด รวมทั้งไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุของภาวะดังกล่าว เกิดจากปริมาณยาที่ให้ไม่เพียงพอ หรือจาก 2-PAM เองออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ หรือจากการรักษาหลังได้รับสารมานานเกินไป ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นอาจเป็น ปัจจัยเสริมให้เกิดความรุนแรงของอาการพิษมากขึ้น การให้ 2-PAM ทาง IV อย่างรวดเร็ว มีผลทำให้เกิด respiratory arrest ได้
-
การให้ atropine และ 2- PAM ร่วมกันในการรักษาภาวะเป็นพิษ organophosphate สามารถช่วยลดอัตราการตายในสัตว์ทดลองได้ในการให้ยาควรให้ oxime หลังจากที่ให้ atropine แล้ว
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
-
ESCAP. Agro-pesticides; properties and functions in integrated crop protection. ESCAP, Bangkok 1991.
-
Goldberg LH, Shupp D, Weitz HH et al. Injection of household spray insecticide. Ann Emerg Med 1982;11:626-629.
-
Anon. Aldicarb food poisoning from contaminated melons California. MMWR 1986;35:254-258.
-
Namba T, Nolte CT, Jackrel J, et al. Poisoning due toorganophosphate insecticieds; acute and chronic manifestation. Am J Med 1971;50:475-88.
-
Minton NA & Murray VSG. A review of organophosphate poisoning. Med Toxicol 1988;3:350-375.
-
Hodgson MJ & Parkinson DK. Diagnosis of organopho- sphat intoxication. N Eng J Med 1985;313:329.
-
Wadia RS, Sadagopan C, Amin RB, et al. Neurological manifestations of organophosphorus insecticide poisoning. J Neurol Neurosurg Psychiat 1974;37:841-7.
-
Senanayake N & Karalliedde L. Neurotoxic effects of organophosphorus insecticides: an intermediate syndrome. N Engl J Med 1987;316:761-763.
-
Bhakeecheep D, Boocherd C. An intermediate syndrome from methyparathion. Intern Med 1989;5:133-4.
-
Tsao TCY, Juang YC, Lan RS, et al. Respiratory failure of acute organophosphate and carbamate poisoning. Chest 1990;98:631-6.
-
Benson B, Tolo D, McIntire M. Is the intermediate syndrome in organophosphate poisoning the result of insufficient oxime therapy? J Toxicol Clin Tooxicol 1992;30:347-9.
-
Morgan JP. The Jake Walk Blues. Ann Intern Med 1997;85:804-7.
-
Lotti M, Becker CE, Aminoff MJ. Organophosphate polyneuropathy: pathogenesis and prevention. Neurology 1984:34:658-2.
-
Senanayake N, Johnson MK. Acute polyneuropathy after poisoning by a new organophosphate insecticide. New Engl J Med 1982;306:155-7.
-
Curtes JP, Develay P, Hubert JP. Late peripheral neuropathy due to an acute voluntary intoxication by organophosphorus compounds. Clin Toxicol 1981;18:1453-62.
-
Cherniack MG. Organophosphorus esters and polyneuropathy. Ann Intern Med 1986;104:264-266.
-
Brill DM, Maisel AS & Prabhu R. Polymorphic ventricular tachycardia and other complex arrhythmias in organophosphate insecticide poisoning. J Electrocardiography 1984;17:97-102.
-
Ludomirsky A, Klein HO, Sarelli P et al. Q-T prolongation and polymorphous ("torsadesde pointes") ventricular arrhythmias associated with organophosphorus insecticide poisoning. Am J Cardiol 1982;49:1654-1658.
-
Lankisch PG, Muller CH, Niederstadt H, Brand A. Painless acute pancreatitis subsequent to anticholinerterase insecticide intoxication. Am J Gastroenteron 1990;85:872-5.
-
Weizman Z, Sofer S. Acute panceatitis in children with anticholinerterase insecticide intoxication. Pediat 1992;90:204-6.
-
Sidhu KS, Collisi MB. A case of an accidental exposure to a veterinary insecticide product formulation. Vet Hum Toxicol 1989;31:63-4.
-
Fernado R. Preventable acute organophosphate poisoning deaths. Ceylon Med J 1989;34:139-42.
-
Ligtenstein DA & Moes GWH. The synergism of atropine and the cholinesterase reactivator HI-6 in counteracting lethality by organophosphate intoxication in the rat. Toxicol Applied Pharmacol 1991;107:47-53.
-
Rahde AF. Antidotes for organophosphate poisoning-experience in developing countries. Joint symposium with the IPCS and WFCTC & PCC 1990:547-57.
-
Golsousideis H & Kokkas V. Use of 19,590 mg of atropine during 24 days of treatment, after a case of unusually severe parathion poisoning. Human Toxicol 1985;4:339-340.
-
Scott RJ. Repeated asystole following PAM in organophosphate self-poisoning. Anaesth Intensive Care 1986;14:458-468.
-
Lotti M, Becker CE. Treatment of acute organophosphate poisoning: evidence of a direct effect on CNS by 2-PAM. J Toxicol Clin Toxicol 1982;19:121-7.
-
Karalliedde L & Senanayake N. Acute organophosphorus insecticide poisoning in Sri Lanka. Forenesic Sci Int 1988;36:97-100.
-
Selden BS & Curry SC. Prolonged succinylcholine-induced paralysis in organophosphate insecticide poisoning. Ann Emerg Med 1987;16:215-217
|