|
สารเคมีกำจัดหนู (Rodenticides) มีอยู่หลายชนิด แต่บางชนิดไม่ได้นำมาใช้ในครัวเรือน และ/หรือเลิกผลิต ไปแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่รุนแรงเช่น Thallium, Vacor (N-3-pyridylmethyl-N’-p-nitrophenylurea; PNU) และ yellow phosphorus บางชนิดไม่ได้ใช้เป็นสารเคมีกำจัดหนู โดยตรง แต่ใช้ประโยชน์ทางอื่นเช่น สารประกอบสารหนู (arsenical compounds) ซี่งมักใช้เป็นสารเคมีกำจัดปลวก และแมลง บทความนี้จะกล่าวถึงสารเคมีกำจัดหนูที่ใช้บ่อย ในครัวเรือนในชีวิตประจำวัน ได้แก่
1. Zinc phosphide
2. Warfarin
Zinc phosphide
-
แหล่งที่มา
-
zinc phosphide มีลักษณะเป็นผงสีดำหรือเทาดำ ถูกบรรจุอยู่ในซองกระดาษ เป็นสารเคมีกำจัดหนูที่มีราคาถูก มักถูกผลิตจากโรงงานขนาดเล็ก จึงมีชื่อสินค้ามากมาย
-
ขนาดที่เป็นพิษ
-
LD50 ในหนู rat เท่ากับ 40 มก.ต่อกก. แต่ปริมาณที่เป็นพิษในคนยังไม่ทราบแน่ชัด มีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตจากการรับประทานปริมาณ 4-5 กรัม แต่ก็มีผู้รอดชีวิตแม้จะรับประทานมากถึง 25-50 กรัม 1
-
พิษจลนศาสตร์พิษจลนศาสตร์
-
zinc phosphide ถูกดูดซึมผ่านทาง portal system ไปยังอวัยวะต่างๆ แล้วขับออกมาทางปัสสาวะ
-
กลไกการออกฤทธิ์ลไกการออกฤทธิ์
-
zinc phosphide จะทำปฏิกิริยากับกรดใน gastric content อย่างรวดเร็ว หรืออย่างช้าๆ กับน้ำใน biological fluid ในอวัยวะต่างๆ เกิดเป็นก๊าซ phosphine (PH3) ซึ่งเป็นพิษ ส่วนกลไกการเป็นพิษของ phosphine ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าเป็นพิษในอวัยวะที่มี high oxygen flow เช่น ปอด ตับ ไต หัวใจ และสมอง
-
อาการและอาการแสดง
-
อาการและอาการแสดงจะพบได้เร็วหลังจากได้รับสารพิษนี้ ที่เด่นคือ ระบบ gastrointestinal โดยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมาก ปวดท้อง อุจจาระร่วง อ่อนเพลีย ลมหายใจมีกลิ่น garlic odor หรือ rotten fish ในบางรายจะมีอาการเป็นพิษต่อตับเช่น ตัวเหลืองตาเหลือง ในผู้ป่วยที่เป็นพิษมากจะมี acute pulmonary edema, tremor, convulsion, cardiac dysrhythmias และเสียชีวิตได้ 2
-
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-
1. การตรวจทั่วไป
-
CBC, electrolytes ได้ผลไม่เฉพาะเจาะจง แต่ช่วย ประเมินภาวะ fluid-electrolyte disturbance การตรวจ BUN/Cr, liver function test, chest X-ray, EKG และ arteriral blood gas มีประโยชน์ช่วยในการประเมิน renal, liver, pulmonary และ cardiac toxicity แต่ไม่จำเป็นต้องทำในผู้ป่วยทุกราย ควรพิจารณาตามความเหมาะสม
-
2. การตรวจทางพิษวิทยา
-
gastric content สามารถตรวจพบ zinc phosphide ได้เป็น qualitative test
-
การดูแลรักษา
-
1.Prevention of absorption การทำ gastric lavage และการ dilution ด้วย NaHCO3 มีประโยชน์ ไม่นิยมการ induced emesis เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มากอยู่แล้ว แต่สามารถทำได้ ในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษนี้เป็นจำนวนมากอาจมี delayed absorption ใน gastrointestinal tract การให้ cathartic จึงอาจได้ประโยชน์ แต่ต้องระวัง severe fluid-electrolyte disturbance
-
2. Enhancement of elimination ยังไม่มีวิธี
-
3.Symptomatic and supportive care เป็นการรักษาหลักของสารพิษนี้ ได้แก่ การให้น้ำและเกลือแร่ที่จำเป็น การรักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน การรักษาประคับประคองในกรณีที่มี renal, liver, pulmonary และ cardiac toxicity
-
4. Antidote ยังไม่มี แต่มีการพยายามใช้ calcium disodium edetate (CaNa2EDTA)
-
แม้ว่า zinc phosphide เป็นสารเคมีกำจัดหนูที่มีความเป็นพิษสูง แต่ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่ได้รับสารพิษนี้ในปริมาณไม่มากนัก การรักษาจึงเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น
Warfarin
-
แหล่งที่มา
-
warfarin เป็นสารประกอบ coumarin รูปแบบทางการค้าเป็นเกร็ดหรือผง มักมีสีฟ้าหรือสีแดง แต่อาจเป็นสีอะไรก็ได้ สามารถถูกขายเป็น warfarin อย่างเดียว หรือผสมกับเหยื่อสำเร็จรูปก็ได้ ขนาดความเข้มข้นในรูปแบบบรรจุทางการค้าคือ 0.05% - 0.75% W/W ขนาดบรรจุ 20-100 กรัม/ซอง ชื่อผลิตภัณฑ์ทางการค้าได้แก่ ราคูมิน (ไบเออร์) อาทแรทคิลเลอร์ (อาทเคมิคัล)
-
ปัจจุบันพบว่าหนูบางสายพันธุ์เริ่มที่จะทนต่อการเป็นพิษจาก warfarin ได้ จึงมีการใช้ superwarfarins แทน 3 ได้แก่ brodifacoum, bromadiolone, chlorophacinone, difenacoum, diphacinone, pindone, valone ซึ่งสารเคมีกำจัดหนูเหล่านี้ ยังไม่มีวางจำหน่ายทั่วไปในประเทศไทย
-
ขนาดที่เป็นพิษ
-
ปริมาณสารพิษใน 1 ซองที่บรรจุขายคือ ประมาณ 10-25 มก. เกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลันได้ แต่มักไม่รุนแรง แต่ถ้ารับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แม้จะเป็นปริมาณไม่มากเช่น 1-2 มก.ต่อวัน ก็สามารถทำให้เกิดการเป็นพิษได้อย่างรุนแรง
-
พิษจลนศาสตร์
-
warfarin ถูกดูดซึมได้ดีและเร็วจากทางเดินอาหาร ความเข้มข้นสูงสุดในเลือดพบได้ภายใน 1 ชั่วโมง ปริมาณเกือบทั้งหมดของที่ดูดซึมได้จะจับกับ albumin โดยมี half-life ประมาณ 35 ชั่วโมง warfarin จะถูก metabolized โดย hepatic microsomal enzymes เป็น inactive metabolites และ ขับออกทางไตและน้ำดี 4
-
superwarfarins จะมี half-life และระยะเวลาออกฤทธิ์ที่ยาวเป็นหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
-
กลไกการออกฤทธิ์
-
warfarin จะไปขัดขวางการทำงานของ vitamin K ทำให้เกิด coagulopathy ของ vitamin K-dependent coagulation factor ได้แก่ factor II, VII, IX และ X
-
โดยปกติ vitamin K เป็น cofactor กับ gamma-glutamyl carboxylase ในขบวนการ carboxylation เปลี่ยน GLU residue ของ inactive coagulation factor ให้เป็น gamma-carboxyglutamate (active coagulation factor) 5 แต่ warfarin จะไปรบกวน vitamin K cycle โดยไปขัดขวาง dithiol-dependent vitamin K 2,3-epoxide reductase ทำให้มีการคั่งของ vitamin K 2,3-epoxide ซึ่งเป็น inactive metabolite จึงไม่มี active metabolite vitamin K-H2 ไปเป็น cofactor ในขบวนการ carboxylation ดังกล่าวข้างต้น
-
warfarin ไม่ได้ไปทำลาย coagulation factor แต่ไปขัดขวางไม่ให้มี active coagulation factor ดังนั้นการเกิด coagulopathy จะไม่เกิดทันที แต่ต้องรอให้ active factor ถูกใช้จนเหลือน้อยกว่า 30% ก่อน ซึ่งในกรณีนี้ factor VII มี half-life สั้นที่สุดคือ 5 ชั่วโมง ดังนั้นการเกิด coagulopathy โดยมี prolonged prothrombin time ต้องรอประมาณ 10-15 ชั่วโมง และมี peak action อยู่ที่ประมาณ 24-48 ชั่วโมง
-
อาการและอาการแสดง
-
เป็นอาการของเลือดออกง่ายผิดปกติอันเนื่องมาจาก coagulopathy และจะมี delayed bleeding ได้ใน 8-12 ชั่วโมง หลังจากได้รับสารพิษนี้ โดยอาการและอาการแสดงประกอบ ด้วย ecchymosis, soft tissue hematoma, bleeding per gum, hematuria ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมี gastrointestinal bleeding ผู้ป่วยที่เสียชีวิตมักเกิดจาก severe gastrointestinal bleeding และ/หรือ intracranial hemorrhage
-
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-
1. การตรวจทั่วไป
-
CBC, platelet count และการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วๆ ไป เพื่อประเมินความรุนแรงและผลแทรกซ้อนของภาวะเลือดออก
-
2. การตรวจพิเศษ
-
prothrombin time (PT) เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มีความจำเป็น เนื่องจากใช้ประเมินความรุนแรง ของ coagulopathy ได้ดี ข้อควรระวังคือ prothrombin time จะไม่ prolonged ในระยะเวลาสั้น หลังจากได้รับสารพิษ warfarin ดังนั้นควรตรวจเป็น baseline และต้องตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 8-15 ชั่วโมงหลังจากได้รับ warfarin
-
partial thromboplastin time (PTT) จะได้ค่าปกติ ในระยะแรกเพราะมี factor VII ลดลงเพียงอย่างเดียว แต่ระยะต่อมาจะมีค่าผิดปกติเมื่อมีการลดลงของ factor II, X โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องตรวจถ้าได้ประวัติกิน warfarin หรือ anticoagulants มาชัดเจน
-
3. การตรวจทางพิษวิทยา
-
serum level for warfarin ไม่ต้องทำ เนื่องจากทำได้ยาก และไม่มีประโยชน์ทางคลินิก
-
การดูแลรักษา
-
1. Prevention of absorption การทำ gastric lavage หรือ induced emesis และการให้ activated charcoal มีประโยชน์ แต่ถ้าพบว่าเริ่มมี coagulopathy แล้วควรหลีกเลี่ยงการทำ induced emesis และควรทำ gastric lavage อย่างระมัดระวัง
-
2. Enhancement of elimination ยังไม่มีวิธี
-
3. Symptomatic and supportive care ให้สารน้ำ หรือเลือดทดแทนในกรณีที่มีเลือดออกจำนวนมาก รวมทั้งระวังการกระทบกระแทก ในกรณีที่มี intracranial hemorrhage ให้ปรึกษาประสาทศัลยแพทย์ หลีกเลี่ยงการให้ยาหรือ สารที่ทำให้เกิดเลือดออกได้ง่าย หรืออาจมีอันตรปฏิกิริยา (drug interaction) กับ warfarin
-
4. Antidote Vitamin K1 (phytonadione) ขนาด 10 มก.ทางหลอดเลือดดำ และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงถ้าจำเป็น จนกระทั่งค่า prothrombin time เป็นปกติ (รายละเอียดการใช้ vitamin k1) ในกรณีที่มีเลือดออกมาก ต้องให้ fresh frozen plasma ร่วมด้วย เพื่อแก้ไขภาวะ coagulopathy
-
ในกรณีที่ได้รับ superwarfarins ต้องให้ vitamin K เป็น ระยะเวลานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
-
5. Specific precaution เนื่องจากการเกิด coagulopathy จะเกิดหลังจากได้รับสารพิษ 8-12 ชั่วโมง จึงควรเฝ้าระวังผู้ป่วยอย่างน้อย 12 ชั่วโมง และในกรณีที่ผู้ป่วยมี coagulopathy ชัดเจน แม้ว่าจะได้รับการรักษาจนเป็นปกติ ควรตรวจค่า prothrombin time ซ้ำอีกใน 4-5 วันหลังได้รับ warfarin
-
เอกสารอ้างอิง
-
Stephenson JBP. Zinc phosphide poisoning. Arch Env Health 1967; 15: 83-8.
-
Arena JM. Other rodenticides. In: Haddad LM, Winchester JF (eds). Clinical management of poisoning and drug overdose. Philadelphia: W.B. Saunders, 1983: 741-4.
-
Jones EC, Growe GH, Naiman SC. Prolonged anticoagulation in rat poisoning. JAMA 1984; 252: 3005-7.
-
Freedman MD. Oral anticoagulants: pharmacodynamics, clinical indications and adverse effects. J Clin Pharmacol 1992; 32: 196-209.
-
Vermeer C, Hamulyak K. Pathophysiology of vitamin K-deficiency and oral anticoagulants. Thrombosis and haemostasis 1991; 66:153-9.
|