การใช้สารเคมีในประเทศไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาพบว่า มีการใช้เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งก็เป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนประชากร การขยายตัวทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการใช้เคมีภัณฑ์จำนวนมากที่มีบทบาทในชีวิตประจำวัน การใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลายนี้อย่างไม่ถูกต้อง ขาดความรู้ความเข้าใจ การใช้ มากเกินความจำเป็น หรือมีการใช้ในทางที่ผิด อันทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
Berrnardino Ramazzini ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอิตาลีเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของอาชีวเวชศาสตร์ ได้เขียนตำรา The Diseases of Workers โดยได้กล่าวไว้ว่า “คนงานควรจะได้ทำงานในงานที่ตัวเองเลือก โดยจะต้องไม่มี ผลกระทบกระเทือนต่อสุขภาพใดๆ ทั้งสิ้น” นอกจากนี้ Ramazzini ได้สอนแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโรคจากการทำงานว่า ประการแรก จะต้องถามผู้ป่วยว่าท่านทำงานอะไร? และประการที่สอง แพทย์จะเรียนรู้โรคจากการทำงานได้โดยการไปเรียนที่โรงงานเหมือนกับแพทย์ทั่วๆ ไปที่เรียนแพทย์ที่โรงพยาบาล
สถานการณ์ปัญหาโรคจากการทำงานของประเทศไทย ภาพรวมของประชากรและกำลังแรงงานของประเทศไทย ในปี 2536 ประเทศไทยมีประชากรเกือบ 60 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีงานทำประมาณ 57% โดยเป็นผู้ที่ทำงานในสาขาเกษตร 57% และผู้ทำงานนอกสาขาเกษตร 43% ในจำนวนผู้ที่ทำงานนอกสาขาเกษตร 41% ทำงานในกลุ่มอาชีพอุตสาหกรรม เหมืองแร่ การผลิต และการก่อสร้าง 59% ทำงานในกลุ่มอาชีพพาณิชยกรรม บริการ การขนส่ง คมนาคมและอื่นๆ จากข้อมูลที่ผ่านมานับว่ามีแนวโน้ม ในการเคลื่อนย้ายกำลังคนจากภาคเกษตรมายังภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาโรคที่เกิดจากการทำงานแบ่งเป็น
-
สารเคมีกำจัดศัตรูพืช กลุ่มผู้ทำงานทางด้านเกษตรกรรม เป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงมากขึ้น อย่างไรก็ดีสารเคมีเหล่านี้อาจเป็น อันตรายต่อสุขภาพอย่างมากถ้าใช้อย่างไม่ระมัดระวัง สารเคมี ที่ใช้กันมากได้แก่ สารเคมีกำจัดแมลงกลุ่ม organophosphate, carbamate และสารเคมีกำจัดวัชพืชในกลุ่ม paraquat นอกจากนี้ ยังมีสารเคมีกำจัดหนูชนิดต่างๆ ข้อมูลในการจำหน่ายสารเคมี กำจัดศัตรูพืชสูงขึ้นจาก 20,000 ตันต่อปีในปี 2525 เป็น 80,000 ตันต่อปีในปี 2532 อย่างไรก็ดีการใช้สารเคมีดังกล่าวกลับ มีแนวโน้มลดลงเหลือ 60,000 ตันต่อปีในปี 2536 ในส่วนของการได้รับอันตราย หรือเจ็บป่วยจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ที่ไม่รวมผู้ป่วยจาก เจตนาฆ่าตัวตาย) ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกัน กล่าวคือ อัตราป่วยจากพิษสารกำจัดศัตรูพืชเพิ่มจาก 0.56 ต่อประชากร แสนคนในปี 2525 เป็น 6.23 ในปี 2535 แต่อย่างไรก็ดี อัตราตายกลับลดลงจาก 3.47% เหลือ 0.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับสารเคมีที่เป็นสาเหตุพบว่า 42% ของผู้ป่วยเกิดจากสารเคมี กำจัดแมลง organophosphate 20% จากสารเคมีกำจัดวัชพืช และ 17% จากสารเคมีกำจัดแมลง carbamate
-
โรคจากการทำงานจากสารเคมีอื่นๆ ผู้ที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้สารเคมีหลากหลายชนิดในขบวนการผลิต ดังนั้นจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคจากการทำงานจากสารเคมีต่างๆ ได้ จากรายงานของกองระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2525-2535 พบพิษจากสารตะกั่วประมาณ 0.02-0.1 พิษจากสารโลหะหนักเช่น ปรอท, manganese, สารหนู 0.1-0.4 พิษจาก ปิโตรเลี่ยมและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 0.2-0.8 และพิษจากก๊าซและไอระเหย 0.1-0.9 ต่อประชากรแสนคน ตามลำดับ
-
การประสบอันตรายและการบาดเจ็บจากการประกอบอาชีพ จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน ในปี 2536 มีผู้ประสบอันตรายจากการใช้แรงงานเป็นจำนวน 150,000 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตกว่า 900 ราย การประสบอันตรายของลูกจ้างมีอัตราสูงขึ้นเฉลี่ย 4% ต่อปี หรือคิดเป็นอัตราลูกจ้างประสบอันตราย 40 คนต่อผู้จ้างพันคน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างไรก็ดี ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลส่วนเดียว ทั้งนี้เพราะยังมีสถานประกอบการที่มีคนงานไม่ถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบของกองทุนเงินทดแทน
-
จากสถิติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคจากการทำงานไม่น้อย อย่างไรก็ดีสถิติดังกล่าวคงเป็นส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ยังมีผู้ป่วยอีกมากที่ไม่ได้รายงาน เนื่องจากระบบการเก็บสถิติยังไม่ดีพอ โรคจากการทำงานนำไปสู่ความสูญเสียทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ในแต่ละปีกองทุนเงินทดแทนต้องจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าตอบแทนตามกฎหมายกว่า 900 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ทางโรงงานหรือสถานประกอบการ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไปด้วยเช่นกันได้แก่ การผลิตหยุดชะงัก ความเสียหายที่เกิดกับผลิตภัณฑ์ของโรงงานรวมถึงการปิดโรงงานด้วย ความรุนแรงดังกล่าวคาดว่าอาจสูงถึง 5-50 เท่าของค่ารักษาพยาบาล
-
การป้องกันและเฝ้าระวังโรคจากการทำงาน
-
อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน (Occupational health and safety)
-
ILO และ WHO ได้ให้ความหมายของคำ “อาชีวอนามัย” ว่า อาชีวอนามัยมีเป้าหมายคือ 1. ในการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคมของคนงาน 2. ปัองกันโรคที่เกิดจากการทำงาน และ 3. ปรับสภาพแวดล้อมของงานให้เข้ากับคน และให้คนปรับตัวเข้ากับงานได้
-
บทบาทที่สำคัญของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานคือ การป้องกันเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน ในประเทศไทยตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยปี 2528 สถานประกอบการที่มีคนงานตั้งแต่ 100 คนขี้นไป จะต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ คือ การฝึกอบรมคนงานเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ติดต่อสื่อสารคนงานถึงความรู้ ความเข้าใจในการทำงาน เพื่อลดอุบัติเหตุของโรคจากการทำงาน จัดตั้งแผนการณ์และหน่วยงานรับมือในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน หรือ อุบัติภัยหมู่ และสืบสวนกรณีอุบัติเหตุและโรคที่เกิดขึ้น เป็นต้น
-
สุขศาสตร์อุตสาหกรรม (Industrial hygiene)
-
สุขศาสตร์อุตสาหกรรมประกอบด้วย 3 ขั้นตอนที่สำคัญคือ การรับรู้ปัญหา (recognition), การประเมินปัญหา (evaluation) และการควบคุม (control) วัตถุอันตรายหรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อ สุขภาพในการทำงาน
-
ประการแรก การรับรู้ปัญหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในที่ ทำงานนั้น เริ่มจากการตรวจสอบสถานที่ทำงาน โดยการสำรวจแบบเดินผ่าน (walk through survey) เพื่อที่จะดูขบวนการผลิตสารเคมี ที่ใช้และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยศึกษาจากข้อมูลความปลอดภัยของเคมีภัณฑ์ (Material Safety Data Sheet) ซึ่งจะบอกถึงชื่อสารเคมี คุณสมบัติ อันตรายและผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น มาตรการ ปฐมพยาบาล มาตรฐานความปลอดภัย การเก็บการใช้ และการดูแล เป็นต้น
-
ประการที่สอง การประเมินปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการวัดระดับ ของสารเคมีที่บรรยากาศในที่ทำงานเป็นระยะตามกำหนด การวัด ปัจจัยทางกายภาพที่เป็นอันตรายเช่น ระดับเสียง หรือความร้อน เมื่อได้ค่าดังกล่าวแล้วก็นำมาเทียบกับค่ามาตรฐานตามที่หน่วยงานต่างๆ ได้วางไว้ (ตารางที่ 1) ค่าเหล่านี้ได้มาจากการศึกษาผลของสารต่างๆ ต่อสัตว์ทดลอง อาสาสมัคร และผลกระทบต่อคนงานในสภาพการ ทำงานจริงๆ การแปลผลค่าต่างๆ นี้ควรจะระมัดระวัง มักจะเชื่อกัน อย่างไม่ถูกต้องว่า ระดับมาตรฐานเหล่านี้เป็นระดับที่ปลอดภัย แต่แท้ ที่จริงแล้วระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดที่จะอนุญาตให้คนทั่วไป สัมผัสได้ (maximum allowable exposure level) เท่านั้น โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยร้อย เปอร์เซนต์ จะมีเพียงแต่ความเสี่ยงที่จะยอมรับได้เท่านั้น ดังนั้น ค่ามาตรฐานดังกล่าวจึงเป็นแนวทางที่ใช้ในการแนะนำ เพื่อควบคุม ปัญหาโรคที่เกิดจากการทำงาน อย่างไรก็ดีก็ยังมีโรงงานหลายแห่ง ที่มีจิตสำนึกในปัญหาโรคจากการทำงานสูง อาจจะตั้งมาตรฐานของ ตัวเองให้เคร่งครัดกว่าค่ามาตรฐานที่ใช้กันทั่วๆ ไปอีก
-
ประการสุดท้าย คือ ขั้นตอนในการควบคุมปัจจัยอันตราย ดังกล่าวคือ การใช้สารทดแทนสิ่งที่เป็นอันตราย การควบคุมทาง วิศวกรรมเช่น การระบายอากาศ การควบคุมพฤติกรรมโดยทางบริหาร วิธีการทำงาน และการป้องกันการส่วนบุคคล เช่น การใช้ หน้ากาก ถุงมือ เป็นต้น
-
ตารางที่ 1 ค่ามาตรฐานในการสัมผัสสารเคมีในบรรยากาศ
The American Conference of Govermental |ndustrial Hygienists (ACGIN)
Threshold limit value (TLV) |
-
Time weighted average (TWA)
-
Short term exposure limit (STEL)
-
Ceiling (C)
The National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH)
-
Recommended exposure limit (REL)
The Occupational Safety and Health Administration (OSHA)
-
Permissible exposure limit (PEL)
|