Ramathibodi Poison Center  

มหันตภัยยาบ้า จะแก้ไขได้จริงหรือ ???

 

Bulletin (April - June 1997 Vol.5 No.2)

  มหันตภัยยาบ้า จะแก้ไขได้จริงหรือ ???


 

 

สรุปจากการประชุมวิชาการรามาธิบดี
วันที่ 2 พฤษภาคม 2540 เวลา 10.30-12.00 น.
ณ ห้องประชุมจงจินต์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
โดย...
ศาสตราจารย์ ดร.ภักดี โพธิศิริ
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
คุณปรีชา จำปารัตน์
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
นายแพทย์ภานุพงศ์ จิตะสมบัติ
โรงพยาบาลสมิติเวช
ศาสตราจารย์นายแพทย์สมิง เก่าเจริญ ........................(ดำเนินการอภิปราย)
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี


 
ยาบ้า เป็นศัพท์ที่เพิ่งจะบัญญัติขึ้นมาใหม่แทนยาม้า และเป็นศัพท์ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากค่อนข้างจะตรงกับลักษณะ หรือสภาพของปัญหาที่เกิดจากการใช้สารเคมีตัวนี้ เดิมทีสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นนำมาใช้เป็นยาเพื่อให้สามารถอยู่เวรยามในผลัด กลางคืนได้อย่างกระปรี้กระเปร่า ไม่ง่วงนอน สำหรับในประเทศไทยเริ่มรู้จักยาบ้าเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งนอกจากใช้เพื่อแก้ง่วงนอนแล้ว ภายหลังถูกนำมาใช้เพื่อลดความอ้วน เนื่องจากสารเคมีตัวนี้จะลดความอยากอาหาร ทำให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทำงานได้นานขึ้น ซึ่งเป็นการเผาผลาญพลังงานไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง และเนื่องจากสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป จึงมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายซึ่งอาจ ทำให้เกิดปัญหาการนำไปใช้ในทางที่ผิด International Narcotics Control Board จึงมีมติตกลงให้ amphetamine เป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเทศไทยเราได้มีการควบคุมโดยจัดให้ทั้ง amphetamine และอนุพันธุ์ของ amphetamine เป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกลุ่มที่ 2 หลังการควบคุมได้มีความพยายามที่จะนำสารตัวอื่นมาใช้ทดแทนเช่น caffeine, ephedrine เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นคล้ายคลึงกัน แต่ไม่รุนแรงเท่า และสุดท้ายที่ปัจจุบันถือว่าเป็นตัวแทนของยาบ้าอย่างแท้จริงคือ methamphetamine hydrochloride และเมื่อนำเม็ดยาบ้าที่จำหน่ายในปัจจุบันมาวิเคราะห์พบว่า เป็น methamphetamine ผสมกับ ephedrine หรือ caffeine
amphetamine, methamphetamine, ephedrine และ pseudoephedrine (รูปที่ 1)





รูปที่ 1 โครงสร้างของ amphetamine และอนุพันธุ์


มีสูตรโครงสร้างเป็นลักษณะของ phenyl amine เหมือนกัน แตกต่างกันที่ side chain บางจุด เช่น methamphetamine และ ephedrine จะต่างกันเฉพาะกลุ่ม hydroxy ทำให้สามารถเปลี่ยน ephedrine เป็น methamphetamine ด้วยปฏิกิริยาง่ายๆ (รูปที่ 2) ดังนั้น ephedrine จึงเป็นสารตั้งต้น (precursor) ที่สำคัญในการผลิต methamphetamine




 



รูปที่ 2 ปฏิกิริยาการเปลี่ยน ephedrine เป็น methamphetamine
การออกฤทธิ์
methamphetamine และ amphetamine derivatives ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง จึงรบกวน neurotransmitter หลายระบบ แต่ neurotransmitter ที่เกี่ยวกับ norepinephrine และ dopamine เป็นตัวสำคัญ โดย methamphetamine จะมีผลให้ norepinephrine และ dopamine ถูกปล่อยออกมามาก ขณะเดียวกันจะยับยั้งไม่ให้มีการดูดซึมกลับ จึงทำให้ norepinephrine และ dopamine คั่งอยู่แถว synapse มาก ทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้คือ
1. ระบบ Norepinephrine สมองส่วน cortical และ reticular activating system จะถูกกระตุ้นการกระตุ้นดังกล่าวทำให้ผู้เสพย์ไม่รู้สึกง่วงนอน อาการเหนื่อยล้าเหมือนจะลดลงหรือหายไปได้ จึงทำให้ผู้ใช้แรงงาน, คนขับรถบรรทุก รู้สึกเหมือนกับว่าทำงานได้นานขึ้น เหนื่อยน้อยลง ไม่ง่วง แต่แท้ที่จริงแล้วร่างกายกำลังอ่อนหล้ามาก ต้องการการพักผ่อน ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสำคัญที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ทุกวันได้แก่ เกิดอันตรายจากอุบัติเหตุกรณีที่ผู้เสพย์ ขับรถยนต์ รถบรรทุก หรือทำงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร เครื่องยนต์
2. ระบบ Dopamine เมื่อ methamphetamine เข้าไปจะกระตุ้น mesolimbic dopamine ทำให้ผู้เสพย์มีลักษณะ euphoria คือ มีอารมณ์สนุกสนาน ครึกครื้น กล้าแสดงออก มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงขึ้น ถ้ากระตุ้น dopamine ในส่วน lateral hypothalamus ทำให้ความอยากอาหารลดลง (anorexia) ไม่หิว ถ้าใช้ปริมาณยาที่ค่อนข้างสูงจะกระตุ้นส่วน neostraital dopamine ทำให้เกิดมีพฤติกรรมซ้ำๆ (stereotyped behavior) ตัวอย่างเช่น จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์กรณีผู้เสพย์แล้ว จะมีอาการส่ายหัวจนเรียกว่า “ยาส่ายหัว” เป็นต้น สำหรับกรณีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือที่เรียกว่าคลั่งยาบ้า ซึ่งต่อไปจะพัฒนาเป็นโรคจิตชนิดหวาดระแวง ก็เป็นผลมาจากกระตุ้น dopamine ส่วน mesolimbic ปัจจัยหนึ่งซึ่งเชื่อว่าทำให้เกิดคือ การใช้ยาบ้าในปริมาณสูงและติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มีการศึกษาพบว่าเมื่อเลิกเสพย์ยาระยะหนึ่งอาการโรคจิตก็จะกลับมาเป็นได้อีก แต่พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้เสพย์ยาบ้าทุกคน คงจะมีปัจจัยอื่นๆ อีกขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลในการส่งเสริมให้เกิดหรือไม่เกิด อย่างไรก็ตาม neurotransmitter เหล่านี้เมื่อถูก enzyme ที่อยู่ในสมองทำลายจนหมดเมื่อหยุดเสพย์ยา ผลที่ตามมาก็คือ เกิดอาการซึมเศร้า อ่อนเพลีย หรือหมดแรง
สำหรับฤทธิ์เสพย์ติดเชื่อว่าเกิดจากเมื่อ methamphetamine กระตุ้น dopamine cell ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับ brain reward system โดยเมื่อ brain reward system ได้รับการกระตุ้นทำให้เกิดมีความอยากถูกกระตุ้นอีกที่เรียกว่า craving หรือความอยากยาา
 
ผลกระทบจากการเสพย์ยาบ้า
ผลร่างกาย ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมจากการที่ยาบ้าทำให้รู้สึกไม่ง่วงนอน ความอยากอาหารลดลง และจากการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ผลจากพฤติกรรมทางเพศ อาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรค AIDS
 
ผลต่อจิตใจ หมกมุ่นกับการเสพย์ยา ไม่คิดทำงานทำการ หรือเรียนหนังสือ นอกจากนี้ทำให้การตัดสินใจเสียไป
 
ผลต่อสังคม ทำให้มีประชากรที่ไร้สมรรถภาพเพิ่มขึ้นและทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนในสังคม
 
มียาในกลุ่มนี้อีกตัวหนึ่งที่เริ่มรู้จักอย่างแพร่หลาย และได้มีการกล่าวถึงกันมากในชื่อของ “ยาอี” หรือ ectasy หรือ extasy ซึ่งก็คือ MDMA เป็น amphetamine derivative ตัวหนึ่ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดยการเติม methylenedioxy group เข้าไป ทำให้มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับการกระตุ้นที่รุนแรงกว่า methamphetamine ประมาณ 10 เท่า และทำให้ประสาทหลอน ในส่วนนี้มีผลต่อเรื่องความรู้สึกทางเพศ ทำให้เป็นที่นิยมนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น โดยเชื่อว่าสามารถกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้อย่างรุนแรง เมื่อหยุดเสพย์ยาแล้วอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นจึงรุนแรงกว่า เกิดโรคจิตได้ง่ายกว่า อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่เป็นปัญหาในบ้านเรา แต่ว่าควรระมัดระวังคือยาลดความอ้วน ยาลดความอ้วนจะมีอยู่ 2 กลุ่ม โดยแยกตามกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน สำหรับกลุ่มที่มีการควบคุมว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งอาจจะมีการนำมาใช้แทนยาบ้าโดยเฉพาะในต่างประเทศ เช่นพวก phentermine ที่น่าเป็นห่วงคือ ในประเทศไทยกลุ่มนี้สามารถหาซื้อได้ตามคลินิกรักษาโรคอ้วนทั่วไปโดยแพทย์ ไม่จำเป็นต้องตรวจก่อน กลุ่มที่ 2 คือพวก fenfluramine, dexfenfluramine ได้ถูกจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ขณะนี้ก็ยังไม่พบว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิด
 
การแก้ปัญหา ประกอบด้วย
1. ในทางกฎหมาย มีพระราชบัญญัติยาเสพย์ติดให้โทษ 2522, พระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และพระราชกำหนดสารระเหย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาร่วมกับคณะกรรมการวัตถุเสพย์ติด ได้มีการปรับปรุงมาตรการทางกฏหมาย 2539 โดยประกาศให้ methamphetamine และอนุพันธุ์ เป็นวัตถุเสพย์ติดประเภทที่ 1 เหมือนเฮโรอีน ซึ่งมีผลให้โทษเพิ่มขึ้นจนถึงประหารชีวิต ส่วนสารเคมีที่เกี่ยวข้องในขบวนการผลิต ได้ประกาศเป็นสารเสพย์ติดประเภทที่ 4 ห้ามนำเข้า หรือมีไว้ครอบครอง ส่วน ephedrine และ pseudoephedrine จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยายังรับผิดชอบในส่วนการดูแล และติดตามสถานการณ์ต่างๆ การรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาในแง่ของการลดอุปสงค์ของการใช้ยาเสพย์ติดให้โทษในทางที่ผิด
 
2. การปราบปราม จากข้อมูลการศึกษาเรื่อง "ขบวนการค้ายาบ้า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาเศรษฐกิจนอกกฎหมาย พบว่าโครงสร้าง การค้ายาบ้ามีความสัมพันธ์กับการเมือง การปกครอง เนื่องจากมีผลตอบแทนสูงโดยเมื่อประเมินมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ปรากฏว่าขนาดมูลค่าเพิ่มในกิจกรรมการค้ายาบ้ามีขนาดเดียวกับการค้าเฮโรอีน ดังนั้นในขบวนการปราบปรามจึงมักมีปัญหาจากอิทธิพลที่ถูกบีบ โชคดีที่รัฐบาลชุดปัจจุบันเร่งแก้ไขเป็นปัญหาเร่งด่วน โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด (ป.ป.ส.) ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการอื่นๆ อีก 40 กว่าหน่วยงาน ทำหน้าที่ในด้านประสานงาน การสืบสวน การปราบปราม หาข่าว หามาตรการการป้องกันและเสริมสร้างค่านิยมใหม่ให้พ้นจากสังคมวัตถุนิยม เป็นต้น เพื่อลดอุปสงค์ลดการระบาดของยาบ้า
 
3. การป้องกัน ไม่ให้มีการทดลองใช้ โดยให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยจากยาบ้าและปัญหาที่จะเกิดหลังจากเสพย์ยา มุ่งสร้างทัศนคติที่ถูกต้องในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา กลุ่มผู้เสี่ยงเช่น ผู้ประกอบอาชีพขับรถบรรทุก กลุ่มผู้ใช้ แรงงาน สำหรับในกลุ่มผู้ติดยานอกจากให้ความรู้ในด้านพิษภัยจากยาบ้าแล้ว ควรแนะนำการรักษา สถานที่รักษา และให้การติดตามดูแล
 
4. การรักษา เนื่องจากเมื่อเลิกเสพย์ยาบ้าจะเกิดการขาดยา (withdrawal) ได้แก่ อาการนอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ซึ่งแต่ละคนจะเป็นมากน้อยไม่เหมือนกัน และเมื่อเกิดจะค่อยๆ หายไปภายใน 1 สัปดาห์ แต่ที่สำคัญคือ เมื่ออาการขาดยาหายไป อาการอยากยา (craving) จะเกิดขึ้นซึ่งเป็นการนำไปสู่การกลับไปเสพย์ใหม่ จึงต้องมีการฟื้นฟูต่อ
 
5. การฟื้นฟู เป็นการทำให้จิตใจของผู้เคยเสพย์หลุดพ้นจากการอยากยา โดยให้ความรู้และแนะนำ การป้องกัน การปรับตัว การลดความเครียด การป้องกันการกลับไปเสพย์ใหม่ซึ่งเป็นการดูแลระยะยาว โดยมีพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้บำบัดคอยให้คำแนะนำ การดูแลตัวเอง สถานการณ์เสี่ยง หรืออาจจะพิจารณาส่งเข้าสถานพักฟื้น
 
สรุป
โดยภาพรวมแล้วการแก้ปัญหายาบ้าก็เหมือนกับยาเสพย์ติดตัวอื่นคือ ต้องใช้มาตรการหลายๆ ด้านดังกล่าวข้างต้น เพื่อลดอุปสงค์อุปทานประกอบกับการบังคับใช้กฎหมาย โดยมีการปราบปรามอย่างจริงจัง และเพิ่มมาตรการป้องกันโดยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคม โดยอาศัยครอบครัวและชุมชนเป็นหน่วยพื้นฐาน น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้