Ramathibodi Poison Center  

อันตรายจากสารแอมโมเนีย: แนวทางการรักษา

Bulletin (July - September 1996 Vol.4 No.3)

ในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา ข่าวอุบัติเหตุการระเบิดในโรงงานอุตสาหกรรม มักจะเกี่ยวข้องกับสารแอมโมเนีย (Ammonia) ทั้งนี้เนื่องจากสารแอมโมเนีย ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลายชนิดที่มีอยู่ในประเทศ ดังนั้นหากผู้ที่ เกี่ยวข้องได้พึงระวังถึงอันตรายจากสารดังกล่าว และแพทย์ผู้ดูแลรักษาผู้ที่ได้รับพิษทราบ แนวทางในการรักษาจะช่วยลดอันตรายจากสารแอมโมเนียได้

แอมโมเนีย มีสูตรทางเคมี คือ NH3 ในภาวะปกติจะเป็นก๊าซที่มีกลิ่นฉุน มีคุณสมบัติติดไฟได้ จึงอาจเกิดระเบิดเมื่อได้รับความร้อน นอกจากนี้แอมโมเนียยังมีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดีมาก จึงมักอยู่ในรูปของแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ (Ammonium hydroxide, NH4OH) มากกว่า แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ มีคุณสมบัติเป็นด่าง (alkali) มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง มีการใช้สารแอมโมเนียใน อุตสาหกรรมห้องเย็น การผลิตอาหารและปุ๋ย สารละลายของแอมโมเนีย ถูกใช้ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการผลิตเส้นด้าย ผ้า หนังสัตว์ กระดาษ และ ยาง ส่วนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น กลั่นน้ำมัน และ โลหะ ก็มีการใช้สารละลายแอมโมเนีย ในขบวนการผลิต สำหรับในบ้านเรือนสารละลายของแอมโมเนียผสมอยู่ใน น้ำยาล้างห้องน้ำ และน้ำยาฟอกผ้าขาว (bleach) แต่มีความเข้มข้นเพียง 5-10% ต่ำกว่าในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่ง มักจะมีความเข้มข้นถึงประมาณ 30%

กลไกของการเกิดภยันตรายต่อร่างกายเมื่อสัมผัสกับก๊าซแอมโมเนีย หรือสารละลายแอมโนเนียคือ การเป็นด่างที่จะระคายต่อผิวสัมผัสต่างๆ เช่น ผิวหนัง เยื่อบุของตาและระบบทางเดินหายใจ ก๊าซแอมโมเนียเมื่อสูดดมเข้าสู่ทางเดินหายใจ ก็จะละลายกับไอน้ำซึ่งมีอยู่ในอากาศและในเยื่อบุเอง ได้เป็นแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ เยื่อบุจะถูกทำลายจากด่างแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพียงการอักเสบจนถึงการหลุดลอกของเซลล์เยื่อบุ (desquamation) ในรายที่รุนแรงได้ กรณีที่รับประทานสารละลายแอมโมเนียเข้าไปจะทำให้มีพยาธิสภาพเหมือนกับผู้ที่รับประทานด่างคือ มีการอักเสบหรือหลุดลอกของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้ อาจจะทำให้มี การทะลุของผนัง ของระบบทางเดินอาหาร มีเลือดออกจากแผล หรือมีการติดเชื้อในระยะต่อมาได้ โดยทั่วไปภยันตรายจากการที่เนื้อเยื่อสัมผัสกับด่างจะรุนแรงกว่ากรด

เมื่อผู้ป่วยสัมผัสกับก๊าซแอมโมเนีย จะทำให้มีอาการแสบร้อนของผิวหนัง แสบตา น้ำตาไหล ที่สำคัญคือ ระบบหายใจ ทำให้มีอาการไอ เจ็บคอ อาจจะมีไอเป็นเลือด ในรายที่รุนแรง ทำให้ รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ตรวจร่างกายอาจพบเสียงปอดผิดปกติเช่น stridor ซึ่งเกิดจากการ บวมของทางเดินหายใจส่วนต้น ที่ต้องระวังคือ อาจมีบวมของ epiglottis เกิดการอุดตันของทางเดิน หายใจได้ กรณีที่เป็นระบบทางเดินหายใจส่วนล่างจะตรวจได้ยินเสียง wheez ได้ รายที่รุนแรงทำให้ เกิดภาวะ pulmonary edema ได้

ภยันตรายที่ระบบทางเดินหายใจจะเป็นพยาธิสภาพ หลักที่บ่งถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น จาการสูดดม ก๊าซแอมโมเนีย โดยทั่วไปการเกิดโรคแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกเกิดจาก การบวมอักเสบของเนื้อเยื่อ โดยตรงดังที่ได้กล่าวแล้ว หลังจากนั้น 48-72 ชั่วโมงถัดมาจะมีความรุนแรงของการอุดตันทางเดินหายใจ เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง มีการก่อตัวของอาการรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากมีการหลุดลอกของ เซลล์เยื่อบุที่ตายออกมาและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรของโครงสร้างที่เหลือ นอกจากนี้อาจจะมีการ ติดเชื้อซ้ำซ้อนได้อีกด้วย

ผู้ป่วยที่รับประทานสารละลายของแอมโมเนียจะมีอาการแสบในช่องปากและคอ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน 24-72 ชั่วโมงต่อมาหลอดอาหาร หรือกระเพาะอาหารอาจทะลุได้ ซึ่งทำให้มีการอักเสบของ mediastinum จนอาจจะเกิดภาวะช็อค หรือมีการหายใจล้มเหลว (respiratory failure) ตามมาได้

ผิวหนังที่สัมผัสถูกก๊าซแอมโมเนียและสารละลายแอมโมเนีย ช่วงแรกมีอาการแสบร้อน ต่อมา จะมีตุ่มน้ำใส (vesicle) เหมือนผู้ป่วยผิวหนังที่ถูกไฟไหม้ทั่วไป หากแต่ว่าแผลอาจจะลามลึกลงไป ถึงชั้นอื่นได้มาก เนื่องจากด่างทำให้เกิดการสลายตัวของเนื้อเยื่อแบบ liquefaction

การดูแลผู้ป่วยในสถานที่เกิดเหต มีหลักการเบื้องต้น คล้ายกับผู้ป่วยที่ได้รับอันตรายจากไฟไหม้ (จากจุลสาร ศูนย์พิษวิทยา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2) คือ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ มาสู่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีและประเมินการหายใจของผู้ป่วย ให้ออกซิเจนถ้าผู้ป่วยมีอาการที่บ่งชี้ ถึงความผิดปกติ ควรถอดเครื่องนุ่งห่มที่ปนเปื้อนแอมโมเนียออก ชำระล้างกายด้วยน้ำจำนวนมากๆ ผิวหนังส่วนที่สัมผัสกับสารแอมโมเนียควรล้างด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 2 ครั้งแล้ว ปิดแผลด้วย ผ้าสะอาดเช่นเดียวกับผู้ป่วยไฟไหม้ และควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดเช่นเดียวกันถ้าตาสัมผัสแอมโมเนีย

ที่โรงพยาบาล การประเมินดูแลเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยมีความสำคัญมากที่สุด ในระยะต้นหากผู้ป่วยมีอาการหรืออาการแสดงที่สงสัยว่าอาจจะเกิดภาวะอุดตันของระบบ ทางเดินหายใจส่วนต้น (upper airway obstruuction) ควรพิจารณาเจาะคอ (tracheostomy) หรือใส่ท่อช่วยหายใจ (endotracheal intubation) แต่เนิ่นๆ การใส่ท่อช่วยหายใจจะต้องทำด้วย ความระมัดระวังและแน่ใจว่าไม่มีภยันตรายต่อกล่องเสียง (epiglottis) เครื่องช่วยหายใจ มีความจำเป็นถ้าผู้ป่วยอยู่ในภาวะของการหายใจล้มเหลวหรือน้ำท่วมปอด (pulmonary edema) หากมีอาการแสดงของการอุดตันของหลอดลมส่วนปลาย ยาขยาย หลอดลมอาจจะมีประโยชน์ สำหรับ steroid ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่ามีส่วนช่วยให้หายเร็วขึ้น

ในส่วนของตาที่สัมผัสกับแอมโมเนีย หลังจากล้างด้วยน้ำแล้วควรได้รับการตรวจด้วย slit lamp โดยจักษุแพทย์ เพื่อประเมินความรุนแรงของภยันตรายที่เกิดขึ้นกับแก้วตา (cornea) และส่วนอื่นๆ ถ้าเป็นไปได้หลังจากนั้นหยอด atropine และป้ายด้วยยาป้ายตาที่ผสมยาปฏิชีวะนะ

สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานสารแอมโมเนียไม่ควรกระตุ้นให้อาเจียน ไม่ควรใส่สายล้างท้อง และไม่ต้องให้ผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) หากเป็นไปได้ควรได้รับการตรวจหลอดอาหาร และกระเพาะอาหารด้วยกล้อง (fiberoptic endoscope) เพื่อประเมินความรุนแรงของภยันตราย ที่เกิดซึ่งจะทำให้วางแผนการรักษาได้ถูกต้องมากขึ้น

การเฝ้าติดตามอาการของผู้ป่วยโดยให้การรักษาแบบประคับประคอง ระวังและป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากปอด ระบบทางเดินอาหาร ผิวหนัง และตา จะต้องดำเนินต่อไป จนกว่าผู้ป่วยจะฟื้น ผู้ป่วยที่อาการรุนแรง อาจจะมีความผิดปกติอย่างถาวรตามมาได้เช่น bronchoconstriction, bronchiectasis หรือ bronchiolitis obliteran ส่วนในหลอดอาหารอาจมีการตีบ (esophageal stricture) ตามมาได้ ซึ่งควรจะได้รับการตรวจประเมินอีกครั้งในช่วง 2-3 สัปดาห์ หลังจากที่สัมผัสกับสาร

เอกสารอ้างอิง

  1. McMullew MJ, Hetrick TJ and Cannow LA. Ammonia, nitrogen, nitrous acids, and related compounds. In: Haddad LM, and Winchester JF (eds). Clinical management of poisoning and drug overdose.2 nd ed. Philadelphia: W.B. Sauders, 1990:1270-2.

  2. Bryson PD. Inhalation injuries. In: Bryson PD (ed). Comprehensive review in Toxicology for emergency clinicians. Washington DC: Taylor & Francis, 1996: 325-34.

  3. Poisindex: Computerized Clinical Information System. Ammonia. 1996, Vol. 90.