Ramathibodi Poison Center  

Melatonin เป็นยาวิเศษจริงหรือไม่

เมลาโทนิน (Melatonin) เป็นชื่อสารเคมีในรูปของอาหารเสริม หรือ ยา ที่มีการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดตัวหนึ่งในยุคปัจจุบัน มีการกล่าวอ้างว่าสามารถใช้เพื่อรักษาภาวะความเจ็บป่วยอย่างหลากหลาย เช่น เป็นยาช่วยให้นอนหลับได้ดี เป็นยาอายุวัฒนะให้คงความเป็นหนุ่มสาวได้นาน เป็นยารักษาโรคมะเร็ง หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ข้ออ้างในสรรพคุณเหล่านี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกในช่วง เวลาสั้นๆ เมลาโทนินเป็นยาวิเศษอย่างที่เชื่อนั้นหรือไม่ เป็นประเด็นที่ควรได้รับการพิจารณาโดยเฉพาะ ในยุคสื่อสารไร้พรมแดน ซึ่งมีทั้งข้อมูลที่เชื่อถือได้และไม่ได้บ้างปรากฎอยู่

เมลาโทนินมีชื่อทางเคมีคือ "N-acetyl-5-methoxytryptamine" จัดเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกจากต่อมไพเนียล (pineal gland) ซึ่งอยู่ในสมองส่วน hypothalamus การหลั่งของเมลาโทนินจะมีความสัมพันธ์กับแสงที่มากระทบ กล่าวคือ แสงจะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้มีการหลั่งเมลาโทนิน ฉะนั้นเมลาโทนินจึงหลั่งออกมามากเวลากลางคืน และจะลดการหลั่งในเวลากลางวัน การควบคุมนี้เกิดโดยแสงที่ผ่านมากระทบ retina จะทำให้เกิดสัญญาณกระตุ้น suprachiasmatic nuclei superior cranial glanglion และต่อมไพเนียลในที่สุด โดยที่ suprachiasmatic nuclei เป็นเสมือนนาฬิกาชีวิต (biological clock) เมลาโทนินจึงเปรียบเป็นสัญญาณของนาฬิกาชีวิตนั่นเอง จากการหลั่งที่เป็นจังหวะของเมลาโทนิน จึงเชื่อว่าเป็นตัวเหนี่ยวนำให้อวัยวะและเซลล์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาในแต่ละวันเช่น การนอนหลับ การหลั่งของฮอร์โมนบางชนิด (ซึ่งก็มีจังหวะ เช่นเดียวกัน) อุณหภูมิในร่างกาย เป็นต้น นอกจากนี้ เมลาโทนินยังเป็นตัวควบคุมการเจริญเติบโต และพัฒนาการของสัตว์ในการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
ในทางคลินิก ผลของเมลาโทนินในคนได้มีการศึกษาบ้างกล่าวคือ การศึกษาเทียบผล ของเมลาโทนินกับยาหลอก (placebo) ในอาสาสมัครพบว่าช่วยทำให้หลับได้เร็วและดีขึ้น ทั้งยังไม่รบกวน ต่อการนอนช่วง REM (rapid eye movement sleep) คนสูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับยาก และตื่นง่าย ก็เชื่อว่าเนื่องจากเมลาโทนินหลั่งน้อยลง การศึกษาแบบ randomized control trial พบว่า ยาเม็ดเมลาโทนิน ชนิดดูดซึมเร็ว ทำให้ผู้สูงอายุเหล่านี้หลับได้ดีขึ้น ขณะที่ชนิดดูดซึมช้าช่วยให้นอนได้ นานขึ้น การได้รับยาเป็นเวลานาน 2 เดือนก็ไม่ทำให้เกิดการดื้อต่อยา (tolerance) ขึ้น ในคนที่เดินทาง ด้วยเครื่องบินข้ามทวีป มักจะเกิดภาวะที่ร่างกายปรับเวลาไม่ทันเกิดอาการอ่อนเพลียและผิดเวลา ที่เรียกว่า "Jet lag" การใช้เมลาโทนิน พบว่าช่วยทำให้ปรับเวลานอนใหม่ และหายจากการอ่อนเพลีย ได้เร็วกว่าการใช้ยาหลอก นอกจากนั้น มีรายงานผู้ป่วยที่มีปัญหาการนอนหลับยาก จากภาวะตาบอดทั้ง 2 ข้างหรือเนื่องจากในต่อมไพเนียล เมลาโทนินจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบ แบบ randomized control trial
การศึกษาในระดับเซลล์และสัตว์ทดลองพบว่า เมลาโทนินมีฤทธิ์ทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโต (cytostatic) และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (immunostimulator) จึงมีการทดลองนำเมลาโทนินมาใช้ ในการรักษาโรคมะเร็ง โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งปอดชนิด non small cell มะเร็งระบบทางเดินอาหาร (ลำไส้ใหญ่และ ทวารหนัก) ที่ไม่ตอบสนองต่อสูตรยาปกติ (first line therapy) พบว่าเมลาโทนินขนาด 10 - 20 mg อย่างเดียว สามารถทำให้ ขนาดของมะเร็งไม่โตขึ้น ผู้ป่วยมีสภาพร่างกาย (performance status) ดีขึ้นเทียบกับการรักษาแบบประคับประคอง แต่ไม่ทำให้เกิด การยุบตัวหรือหายไปของเนื้อมะเร็ง การใช้เมลาโทนินร่วมกับ Interleukin (IL) พบว่าสามารถเพิ่ม ประสิทธิภาพของ IL ทำให้ไม่ต้องใช้ IL ในขนาดที่สูงและลดอาการข้างเคียงจาก IL ได้ มีการศึกษา แบบไม่มีกลุ่มควบคุม (non control trial) และ control trial ขนาดไม่ใหญ่นัก โดยใช้เมลาโทนินร่วมกับ IL-2 ในผู้ป่วยมะเร็งปอดและระบบทางเดินอาหารที่ไม่ตอบสนองต่อ 5 - fluorouracil และ folate พบว่า ทำให้ก้อนเล็กลง (partial remission) 12% เทียบกับการรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งไม่สามารถทำให้ เกิด partial remission ได้เลย อัตรารอดชีวิตใน 1 ปีก็สูงกว่า อย่างไรก็ตามการใช้เมลาโทนินกับ โรคมะเร็งยังต้องมีการศึกษามากกว่านี้ เช่น randomized control trial ที่มีขนาดจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้ จึงจะสามารถสรุปได้ แน่ชัดถึงประสิทธิภาพของยาตัวนี้
ทฤษฎีของการเข้าสู่วัยชรา (aging) เชื่อว่าเป็นผลลัพท์ จากปัจจัยต่างๆทั้งในแง่ของสังคม สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการสะสมของ oxygen free radical ปฏิกริยาทางชีวเคมีในเซลล์ และ สุดท้ายเชื่อว่าในเซลล์มีโปรแกรมให้เข้าสู่ภาวะชราเมื่อได้รับสัญญาณกระตุ้น การศึกษาพบว่าคนสูงอายุ จะมีระดับของเมลาโทนินลดลงและเนื้อเยื่อมีการตอบสนองต่อเมลาโทนินลดลง นอกจากนั้นยังเชื่อว่า เมลาโทนินป้องกันการทำลายของ DNA จาก free radicals เนื่องจาก เมลาโทนินมีฤทธิ์ต้านต่อ hydroxyl radical โดยทำหน้าที่กำจัดโดยตรงและสนับสนุนการทำลายของมันโดยผ่านเอ็นซัยม์ glutathione peroxidase และเมลาโทนินที่เปลี่ยนไปในคนชราอาจจะเป็นสัญญาณที่ส่งไปถึงเซลล์ต่างๆให้เข้าสู่ขบวน การชรา (aging) เหตุผลต่างๆ ที่กล่าวมาทำให้มีทฤษฎีที่เชื่อว่า การลดลงของเมลาโทนินคือ ที่มาของ การเข้าสู่วัยชรา หากมีการให้เมลาโทนินเข้าทดแทนอาจจะสามารถยับยั้งความชราลงได้ มีการทดลอง ขนาดเล็กในหนู พบว่าหนูที่ได้รับเมลาโทนินมีอายุยาวขึ้น แต่ก็มีบางการศึกษาในสัตว์ไม่ให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตามไม่มีข้อมูลหรือการศึกษาในคนเลย
ในสัตว์ทดลองหลายชนิด การให้เมลาโทนินก่อน สัตว์เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (prepuberty) จะทำให้สัตว์ มีการพัฒนาทางเพศช้าลง เนื่องจากมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองและ ในระดับ hypothalamus สำหรับสัตว์ที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วผลจากเมลาโทนินยังสรุปไม่ได้แน่ชัด ใน แม่กวางที่ตั้งท้องหากได้รับเมลาโทนินจะทำให้ลูกกวางที่คลอดออกมาเสียชีวิตจาก hypothermia ใน 24 ชั่วโมงแรก มากกว่ากลุ่มควบคุม โฆษณาของเมลาโทนินมักอ้างว่า เมลาโทนินทำให้แก่ช้าลงและมี ประสิทธิภาพทางเพศดีขึ้น แต่เป็นเพียงทฤษฎียังไม่มีหลักฐาน ข้อมูล หรือ การศึกษาทางคลินิกโดย เฉพาะในคนยืนยัน จึงเป็นข้ออ้างที่อาจจะเกินความเป็นจริง
ถึงแม้ว่าการศึกษาเกี่ยวกับเมลาโทนินที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า เมลาโทนินน่าจะมีความปลอดภัยสูงเพราะขนาดของยาที่ใช้ศึกษามีตั้งแต่ 0.05 - 40 mg ภาวะอันไม่พึงประสงค์ที่มีรายงานมีเพียงทำให้ สับสน มึนงงเท่านั้น แต่ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากยังไม่มีการติดตามภาวะไม่พึงประสงค์จากเมลาโทนิน อย่างเป็นระบบก็ได้ ผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาล (seasonal affective disorder) เมลาโทนินอาจจะทำให้โรคมีความรุนแรงมากขึ้นจึงเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ควรระวัง ขณะเดียวกันเมลาโทนิน ที่มีขายกันในท้องตลาดนั้นเป็นรูปของอาหารเสริมไม่ใช่ยา ทำให้ไม่ถูกควบคุมมากหมือนผลิตภัณฑ์ยา จึงไม่มีเครื่องประกันถึงคุณภาพและ ความบริสุทธิ์ของยา ในทศวรรษก่อน ชาวอเมริกันมีการใช้ อาหารเสริมชนิดหนึ่งคือ 'L tryptophan" ซึ่งถือว่าเป็นกรดอะมิโนที่มีอยู่ในร่างกายเพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น นอนไม่หลับ ซึมเศร้า ปวดเมื่อยจากโรคไขข้อ โดยทฤษฎีแล้ว L tryptophan ควรจะเป็นอาหารเสริม ที่ปลอดภัย แต่ประมาณ 6 ปีที่แล้วมีผู้บริโภคมากกว่า 10 คนต้องเสียชีวิตและอีกกว่า 1000 คน ต้องกลายเป็นผู้เจ็บป่วยเรื้อรังจากโรคที่เรียกว่า 'Eosinophilia myalgia syndrome' การสอบสวนทาง ระบาดวิทยาพบว่าผู้ป่วยทุกคนได้บริโภค L tryptophan ที่ผลิตจากโรงงานเดียวกัน ซึ่งในที่สุดพิสูจน์ได้ ว่ามีการปนเปื้อนของสารมีพิษเข้าไปในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว กรณีนี้คงจะเป็นอุทาหรณ์ที่จะต้องคำนึงถึง คล้ายกับในกรณีของเมลาโทนินเช่นกัน
หากอ้างอิงถึงองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา เมลาโทนินน่าจะมีประโยชน์ในการ บำบัดภาวะความผิดปกติของการนอน และอยู่ระหว่างการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งเท่านั้น สรรพคุณ นอกเหนือไปกว่านี้ยังไม่มีหลักฐานทาง วิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเฉพาะในคนยืนยัน เมลาโทนิน อาจจะเป็นยาวิเศษตามข้อกล่าวอ้างหรือเป็นเพียงข้อเท็จจริงจะต้องอาศัยการศึกษาอีกมากเพื่อพิสูจน์ และหากจะมีประสิทธิภาพจริงก็ควรจะต้องได้รับการควบคุมเช่นเดียวกับยารักษาโรคตัวอื่นๆ จึงจะถือ ได้ว่าเป็นยาวิเศษที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง

เอกสารอ้างอิง:

1. Garfinkel D, Laudon M, Nof D, et al. Improve sleep quality in elderly people by controlled-release melatonin. Lancet 1995; 346: 541-4.

  • Petrie K, Conaglen JV, Thompson, et al. Effects of melato- nin on jet lag after long haul flights. Br Med J 1989;1989: 705-7.
  • Lissoni P, Barni S, Tancini G, et al. Clinical study of melatonin in untreatable advanced cancer patients. Tumori 1987; 73: 475-80.
  • Barni S, Lissoni P, Cazzaniga M,et al. A randomized study of low-dose subcutaneous interleukin-2 plus melatonin versus supportive care alone in metastatic colorectal cancer patients progressing under 5-fluorouracil and folates. Oncol 1995; 52; 243-5.
  • Reiter RJ. The pineal gland and melatonin in relation to aging: a summary of the theories and of the data. Exp Gerontol 1995; 30: 199-212.
  • Badawi H, Wilkinson. Lack of effect of melatonin on sexual maturation in female rats. J Reproduct Fertil 1988; 83: 273-8.
  • Asher GW, Barrel GK, Adam JL, et al. Effects of subcutaneous melatonin implants on reproductive seasonality of farm fallow deer (Dama dama). J Reproduct Fertil 1988; 84; 679-91
  • Martin RW, Duffy J, Engel AG, et al. The clinical spectrum of the eosinophilia- myalgia syndrome associated with L-tryptophan ingestion; Clinical feature in 20 patients and aspects of pathophysiology. Ann Intern Med 1990; 113:124-34.