Bulletin (July - August 1995 Vol.3 No.2)
ปัจจุบันยังมีการใช้สมุนไพร รักษาโรคและภาวะต่างๆ อย่างแพร่หลาย ส่วนหนึ่งถูกใช้หรือ ถูกแนะนำ ให้ใช้ โดยผู้ที่ไม่มีความรู้โดยตรง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้นำไปใช้ได้มีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับอันตราย จากการใช้สมุนไพร
ลง ในวารสารทาง การแพทย์ต่างๆทั่วโลก เป็นระยะ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นรายงานจากทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันตรายจากสมุนไพรเกิดได้หลายประการ ตั้งแต่เจ็บป่วยเล็กน้อยจนกระทั่งถึงแก่ชีวิตเกิดได้ทั้งรวดเร็วหลังจากรับประทาน
ไม่นานจนกระทั่งนานเป็นเดือนๆ เกิดได้ทั้งจากพิษของสมุนไพรเองหรือจาก การปนเปื้อนของสารพิษที่มาในรูปของสมุนไพร
เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานผู้ป่วยรายหนึ่งเกิด Fulminant Hepatitis จนกระทั่งต้องทำ Liver Transplant หลังจากรับประทานยาชะลอความแก่ซึ่งสกัดจากสมุนไพร ในตอนแรกที่ผู้ป่วยไปพบแพทย์ ไม่ได้ให้ประวัติเรื่องรับประทาน
ยา สมุนไพรนี้ แพทย์ต้องทำ Investigation มากมาย เพื่อหาสาเหตุของ โรค ในขณะที่โรค progress ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมี complication หลายอย่าง เช่น sepsis, renal failure ต้องอยู่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน ก่อนที่จะได้
ประวัติการ ใช้ยาสมุนไพรติดต่อกัน 10 เดือน และเพิ่งจะ เพิ่มขนาดของยา 2 สัปดาห์ก่อนเกิดอาการพิษในครั้งนี้
เมื่อปีที่แล้วก็มีรายงานผู้ป่วยรายหนึ่งรับประทานยาสมุนไพรเพื่อ รักษา COPD หลังจากนั้น 1 เดือน เริ่มมีอาการ ปวดท้อง อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ จากการ Investigation พบว่า มี d-Aminolevalinic acid ใน urine สูงกว่าปกติ ได้วินิจฉัยว่าเป็น Acute Intermittent porphyria แต่จาก peripheral blood smear มี basophilic stripping จึงได้ส่งตรวจระดับตะกั่วในเลือดด้วย ซึ่งได้ผลกลับมาว่าสูงกว่าปกติ หลายเท่า จึงได้รับการรักษาด้วย chelating agent จนกระทั่งหายเป็นปกติ ซึ่งในผู้ป่วยรายนี้ไม่มีประวัติ หรือสภาพแวดล้อมที่จะได้รับสารตะกั่ว แต่จากการศึกษา สมุนไพร ที่ใช้พบว่ามีสารตะกั่ว (Lead) สารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก
นอกจากพิษภัยในรูปแบบทั้ง 2 ข้างต้น ยังมีรายงานการเกิดพิษแบบอื่นๆ อีก เช่น เกิด sudden cardiac arrhyth mia ถึงแก่ชีวิตหลายรายภายหลังรับประทานสมุนไพรซึ่งมีส่วนประกอบของ aconitine ไปไม่กี่ชั่วโมง ในฮ่องกง และ มาเลเซีย เกิด neonatal jaundice ในทารกที่เกิดจากมารดาที่รับประทาน สมุนไพรจีนบางชนิดระหว่างตั้งครรภ์ เกิด
อา การทาง Neurological system เช่น Chorea,Tetraplegia หลังจากได้รับสารพิษในสมุนไพร นอกจากนี้ยัง อาจจะได้รับสารพิษพวกสารฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนมากับ พืชที่ใช้ทำสมุนไพร หรือได้รับยาแผนปัจจุบันบางชนิด ที่ผู้ปรุงสมุน ไพร จงใจผสมเข้าไป เช่น Steroid, Phenylbutazone, Aminopyrine เป็นต้น
จากอาการพิษต่างๆ ข้างต้นจะเห็นว่าเกิดได้หลากหลาย และไม่เฉพาะเจาะจง ดังนั้นการวินิจฉัย อาการพิษจากสมุน ไพร คงจะต้องยึดหลักในการวินิจฉัยคือ
-
ต้องพยายาม Rule out สาเหตุอื่นๆ ที่เป็นไปได้ในผู้ป่วยรายนั้น
-
อาการที่เกิดขึ้นต้องสามารถอธิบายได้ด้วยสารหรือสมุนไพรนั้น ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลการศึกษา หรือการรายงานผู้ป่วยที่ผ่านๆ มา
-
ระยะเวลาที่เกิดอาการ และการใช้สารหรือสมุนไพรนั้นต้องมีความสัมพันธ์ที่อธิบายได้
-
ในบางรายอาจจะได้ประวัติว่า อาการดีขึ้นเมื่อหยุดใช้ หรือเป็นมากขึ้นเมื่อกลับมาใช้ใหม่
จะเห็นว่า การให้การวินิจฉัยการเกิดพิษจากสมุนไพรค่อนข้างจะมีปัญหา เนื่องจากผู้ป่วยอาจจะ ไม่ได้ให้ประวัติ
การ ใช้สมุนไพร หรือแพทย์ไม่ได้นึกถึง และไม่ได้ซักประวัติการใช้สมุนไพร นอกจากนี้ใน ปัจจุบันยังมีข้อมูลการศึกษาทาง
วิชา การของสมุร ไพรชนิดต่างๆ ในแง่ของประโยชน์และโทษของสมุน- ไพรค่อนข้างน้อย การรายงานผู้ป่วยหรือการเผย แพร่ข้อมูล การศึกษาต่างๆ ยังไม่มาก ทำให้ผู้ป่วยบาง รายอาจจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาช้า หรือไม่ได้รับการวินิจฉัย เลยก็ได้ ้
ดังนั้นแพทย์ควรจะต้องนึกถึง และซักประวัติเกี่ยวกับสมุนไพรเพิ่มเติม จากข้อมูลอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะในราย ที่มี ปัญหาในการวินิจฉัยโรค บางครั้งอาจจะเกิดจากพิษของสมุนไพรก็ได้ นอกจากนี้ ควรจะต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ และโทษของสมุนไพรมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการเผยแพร่ข้อมูล ในวงกว้างและควรมีการควบคุมการใช้สมุนไพรที่มีอันตราย ร้ายแรงในลักษณะเดียวกับยาแผนปัจจุบันด้วย
เอกสารอ้างอิง
|