![]() |
|
อ. พญ.ลักขณา อดิเรกลาภวงศ์ |
“โรคมะเร็งเต้านม” เป็นหนึ่งใน 5 โรคมะเร็งของผู้หญิงไทยที่พบมากเป็นอันดับ 1 ตามด้วยมะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปอด และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุด แต่ปัจจุบัน ก็มีนวัตกรรมในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากมาย ดังที่จะกล่าวต่อไป
การผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การผ่าตัดที่เต้านม และการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ นอกจากนี้ ก็ยังมีการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การผ่าตัดที่เต้านม
แบ่งออกเป็นการผ่าตัดออกทั้งเต้านม และการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม
ในการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม หากคลำก้อนได้ สามารถผ่าตัดตามปกติ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ แต่ในบางรายอาจไม่สามารถคลำก้อนได้ กรณีที่ไม่สามารถคลำก้อนได้ วิธีที่เป็นมาตรฐานที่โรงพยาบาลรามาธิบดีใช้คือ การปักลวดไว้ในตำแหน่งที่เป็นรอยโรค และทำการผ่าตัดบริเวณนี้ออก ข้อดีคือเป็นวิธีที่มาตรฐานมาตั้งแต่อดีต ไม่แพง ข้อเสียคือมีขดลวดคาที่หน้าอกก่อนการผ่าตัด และมีโอกาสเลื่อนหลุด ปัจจุบันจึงได้มีการผ่าตัดเพิ่มอีกวิธี คือการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าไปในบริเวณเต้านม แล้วทำการผ่าตัดก้อนเนื้อออกโดยใช้อุปกรณ์พิเศษในการตรวจจับ วิธีนี้มีข้อดีคือไม่ต้องปักลวดคาไว้ที่หน้าอก แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากเป็นการรักษารอยโรคที่เป็นลักษณะหินปูนที่เต้านม ก็ยังนิยมการรักษาโดยการผ่าตัดแบบปักลวดอยู่
การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.การตรวจต่อมน้ำเหลืองรักแร้เซนติเนลจะทำในผู้ที่ตรวจไม่พบการแพร่กระจายของต่อมน้ำเหลืองก่อนการผ่าตัด โดยการตรวจต่อมรักแร้เซนติเนลจะทำการฉีดสารสีฟ้าที่บริเวณผิวหนัง สารนี้จะวิ่งไปตามทางเดินน้ำเหลือง แล้วไปจับที่ต่อมน้ำเหลืองรักแร้ ต่อมน้ำเหลืองกลุ่มแรกที่ติดสี คือต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล จะถูกผ่าตัดออกไปตรวจ ถ้าไม่พบการแพร่กระจายของมะเร็ง ไม่ต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองรักแร้ต่อ เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองเซนติเนลนี้เป็นกลุ่มแรกที่รับการระบายน้ำเหลืองจากเต้านม หากไม่พบการแพร่กระจาย ต่อมน้ำเหลืองอื่นที่รับน้ำเหลืองหลังจากต่อมน้ำเหลืองกลุ่มนี้น่าจะไม่มีการแพร่กระจาย ซึ่งสามารถลดการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองรักแร้ ซางจะลดโอกาสการเกิดแขนบวมในคนไข้จาก 30% เหลือไม่เกิน 10% ได้
2.การเลาะต่อมน้ำเหลืองรักแร้จะผ่าตัดในผู้ที่มีการกระจายของมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองรักแร้ โดยการเลาะออกไปทั้งหมด ต่อมรักแร้มี 3 ระดับ แพทย์จะทำการเลาะระดับ 1 และ 2 ซึ่งเป็นการผ่าตัดมาตรฐาน ที่ให้ผลการรักษาที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเลาะระดับที่ 3 ถ้าไม่จำเป็น อย่างไรก็ดี หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงที่จะแขนบวมมากกว่าการตรวจต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30%
3. การผ่าตัดต่อมรักแร้เซนติเนลในผู้ที่มีการกระจายชองต่อมน้ำเหลืองรักแร้แต่ได้ยาเคมีบำบัดแล้วตอบสนองดี ต่อมน้ำเหลืองรักแร้ยุบหมด เป็นการผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มะเร็งไม่มีการลุกลามไปที่กล้ามเนื้อหน้าอก หรือบริเวณผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองรักแร้ที่มีการแพร่กระจายจะต้องขยับได้ โดยจะต้องให้เคมีบำบัดก่อน และอาจมีการวางคลิปที่ต่อมน้ำเหลืองรักแร้ก่อนให้ยา หลังให้ยาครบจะดูการตอบสนองของต่อมน้ำเหลืองรักแร้ว่ายุบดีหรือไม่ หากยุบดี และดูปกติ สามารถละเว้นการเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้วใช้การตรวจต่อมน้ำเหลืองรักแร้ด้วยวิธีเซนติเนล ร่วมกับการเอาต่อมน้ำเหลืองที่มีคลิปออก หรือหากไม่ได้วางคลิป อาจผ่าตัดโดยใช้การตรวจเซนติเนล2เทคนิค ซึ่งสามารถลดอาการแขนบวมขากการเลาะต่อมน้ำเหลืองรักแร้ได้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมและการรักษาที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบัน ซึ่งที่รามาธิบดีเองก็ทำในคนไข้ที่เข้าเกณฑ์นี้
การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม
1.การใส่ซิลิโคน
การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมโดยการใส่ซิลิโคน ซึ่งจะทำในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องตัดเต้านม แต่ยังอยากมีรูปทรงเต้านมปกติ จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยได้ ข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เนื้อเยื่อตัวเอง เจ็บน้อยกว่า แต่ซิลิโคนเองก็เป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ไม่ได้เหมือนเนื้อเยื่อเรา100% ปัจจุบัน มีการพัฒนาซิลิโคนไปอย่างมาก ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีใช้ซิลิโคนผิวเรียบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ปกติซิลิโคนเองมีอายุการใช้งานประมาณ 10-15 ปี จะเริ่มเสื่อม ถ้าใส่แล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุดของการใส่ซิลิโคนคือ คนไข้มีโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 1 ใน 30000 แต่มักจะเกิดในซิลิโคนผิวหยาบ ซึ่งทางโรงพยาบาลรามาธิบดีไม่ได้ใช้อยู่แล้ว และหลังใส่ เราจะมีการติดตามคนไข้เป็นระยะ
2.การใช้เนื้อเยื่อตนเอง
การใช้เนื้อเยื่อตนเองมาเสริมสร้างเต้านม เนื้อเยื่อตัวเอง ผลการรักษาจะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าซิลิโคน แต่คนไข้ก็จะมีอาการบาดเจ็บในช่วงหลังผ่าตัดมากกว่าการใช้ซิลิโคน และใช้ระยะเวลาผ่าตัดและระยะเวลาในการฟื้นตัวมากกว่า และแผลผ่าตัดเยอะกว่า
ปัจจุบัน ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม เช่น การใช้ความเย็นจี้ การผ่าตัดโดยการส่องกล้องหรือโดยใช้หุ่นยนต์ ซึ่งผลของการรักษาปัจจุบันยังเป็นข้อมูลระยะสั้น ยังไม่มีข้อมูลในระยะยาวว่าผลของการผ่าตัดจะมีประสิทธิภาพเท่ากับการผ่าตัดแบบปกติหรือไม่ ยังต้องรอผลของการศึกษา ดังนั้น การรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยการผ่าตัดแบบมาตรฐานปัจจุบันจึงเป็นวิธีดีที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในขณะนี้ สุดท้ายนี้ การตรวจพบโรคมะเร็งเต้านมในระยะแรก อัตรารอดชีพ 5 ปี คิดเป็นร้อยละ 95 จึงอยากเชิญชวนทุกคนเข้ารับการคัดกรองตรวจมะเร็งเต้านม คนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวนด์ทุกปี และควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้ง