ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์

สรุปจาก Oral History ของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์

 

บรรยากาศและการทำกิจกรรมโดยรอบของคณะฯ

                            ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ ชอบทำกิจกรรมแต่ก็ยังให้การเรียนเป็นอันดับ 1 อาจารย์มีการเรียนระดับปานกลาง ในส่วนกิจกรรมนั้นตั้งแต่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เป็นต้นมา อาจารย์ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับสโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลมาตลอด มีตำแหน่งสำคัญต่างๆ โดยในช่วงเรียนชั้นปีที่ 1 เป็นผู้ช่วยกรรมการและผู้ช่วยพัสดุ เลื่อนตำแหน่งเป็นพัสดุในชั้นปีที่ 2 และในชั้นปี 3 ได้เป็นประธานกรรมการปกครองเพื่อจัดระเบียบการศึกษาการแต่งกายและความประพฤติของนักศึกษา (ในสมัยนั้นตัวแทนนักศึกษามีส่วนร่วมในองค์กรได้) มีการปกครองกันเอง มุ่งความมีวินัย และมีระเบียบเรียบร้อย

                            อาจารย์เป็นนักศึกษาแพทย์รุ่น 6 เริ่มเข้าศึกษา ปี พ.ศ. 2513 มีนักศึกษาแพทย์ทั้งหมด 72 คน นักศึกษาแพทย์หญิงมีจำนวนน้อยมากแต่เรียนเก่ง อาจารย์ผู้สอนให้แบ่งกลุ่มและเรียนเวียนในแต่ละภาควิชา การแบ่งกลุ่มเช่นนี้ทำให้เพื่อนๆในกลุ่มมีความสนิทกันมาก โดยแบ่งเป็น 6 กลุ่ม ๆ ละ 12 คน ในการจัดกลุ่มจะไม่เรียงตามตัวอักษรตัวแรกของชื่อนักศึกษาแพทย์ แต่ใช้วิธีการกระโดดข้ามให้คละชื่อกันเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้รู้จักกันจึงมีเพื่อนสนิทเพิ่มมากขึ้นโดยให้นับไล่ 1 ถึง 12 และก็เริ่มนับ 13 - 24 ต่อไป จนได้ 6 กลุ่ม ไม่เหมือนกับการแบ่งกลุ่มเพื่อเรียน Labในห้องทดลองช่วงที่เป็นนักศึกษาปี 1 - ปี 4 ที่เรียงตามตัวอักษรตัวแรกของชื่อนักศึกษาดังนั้นชื่อนักศึกษาที่ตัวอักษรตัวแรกอยู่ใกล้กันจะอยู่กลุ่มเดียวกัน แม้เปลี่ยนกลุ่มก็เรียงเหมือนเดิมทำให้สนิทกันเฉพาะกลุ่มเดิมเท่านั้น

 

บรรยากาศและการทำกิจกรรมโดยรอบของคณะฯ 2

                           การเรียนในคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้นบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ดีมากจนเป็นที่ประทับใจของลูกศิษย์ สำหรับศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ นักศึกษาแพทย์รุ่นที่ 6 มีความประทับใจอาจารย์ 2 ท่าน คือ 1. ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ธนิต เธียรธนู อาจารย์ประจำสาขาศัลยศาสตร์ ส่วนอาจารย์เองก็ชอบวิชาประสาทศัลยศาสตร์ ในช่วงดูฟิล์มเอ็กซเรย์อาจารย์สามารถตอบคำถามของศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ธนิต เธียรธนู ได้มากถึง 10 ข้อ ทั้งๆ ที่อาจารย์เรียนปานกลาง (มีบางคำถามเพื่อนกระซิบอยู่ข้าง ๆ ) ทำให้ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ธนิต เธียรธนูจดจำอาจารย์ได้ ขณะที่อาจารย์ไปเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลจังหวัดนครราชสีมา ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ธนิต เธียรธนู ได้โทรไปตามให้อาจารย์มาสมัครเป็นแพทย์ประจำสาขาวิชาประสาทวิทยาของคณะฯ ซึ่งมี 12 คน บรรยากาศการเรียนการสอนเข้มข้น ในสมัยนั้นแต่อาจารย์กับลูกศิษย์ใกล้ชิดมาก มีการประชุมทางวิชาการสาขาประสาทศัลยศาสตร์กับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสลับกันเป็นเจ้าภาพ ช่วงที่เดินทางไปประชุมที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ผู้สอนจะพานั่งรถของอาจารย์และรถของแพทย์ประจำบ้าน เมื่อเลิกประชุมจะแวะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันระหว่างทางมีความสนิทสนมกันมากลูกศิษย์กับอาจารย์ ท่านที่ 2 คือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร เป็นอาจารย์สอนการผ่าตัดหัวใจและทรวงอก ท่านพาไปเที่ยวที่บ้านในวันหยุดเสมอ และท่านจะร่วมรับประทานอาหารเที่ยงนักศึกษาแพทย์เป็นประจำ

 

การดำรงตำแหน่งนายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

                           ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำคลินิกและไม่มีคลินิกเป็นของตัวเอง เพียงแต่ช่วยอาจารย์บางท่านในภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นเวลาประมาณ 2 - 3 ปี เพราะต้องการทำประโยชน์ให้สังคมในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่รักษาคนไข้โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อาจารย์ทำงานกับแพทยสมาคมฯ เป็นเวลาสิบกว่าปีโดยเริ่มเป็นที่ปรึกษา คณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ และเลขาธิการจนกระทั่งเป็นนายกแพทยสมาคมฯ ในวาระมกราคม พ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2559

 

บทบาทแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในสังคมไทย

                           ในฐานะที่ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ ได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ( มกราคม พ.ศ. 2557 – 2559) อาจารย์ได้ให้ข้อมูลของแพทยสมาคมฯ ว่ามีวัตถุประสงค์หลักหรือวิธีปฏิบัติหรือกิจกรรมหลักทั่วไปที่เป็นเบื้องต้น คือ ดูแล ส่งเสริม พัฒนาและช่วยเหลือเพื่อให้แพทย์ที่เป็นสมาชิกของแพทยสมาคมฯ สามารถดำรงตนได้สมสถานะภาพในสังคมอย่างมีเกียรติ เพื่อที่จะดูแลประชาชนได้อย่างดีต่อไป แต่ในขณะเดียวกันแพทยสมาคมฯ ก็ดูแลประชาชนเช่นเดียวกัน แพทย์ทั้งประเทศไทย มีประมาณ 50,000 คน เป็นสมาชิกสมาคมฯ ประมาณ 26,000 คน

 

บทบาทในการเป็นคณะกรรมการ สปสช

                            ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้ให้ข้อมูลของการได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) คือ เมื่อ พ.ศ. 2544 ขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น ได้ถูกเสนอชื่อให้เป็นรองอธิการบดี ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ มหาวิทยาลัยมหิดล (ในสมัยอธิการบดี ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์พรชัย มาตังคสมบัติ) ซึ่งเป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยมหิดลขึ้นอยู่กับทบวงมหาวิทยาลัย อาจารย์จึงได้เรียนหลักสูตรทบวงมหาวิทยาลัยเนื่องจากเป็นรองอธิการบดี ซึ่งมีผู้เรียนประมาณ 40 - 50 คน และอาจารย์ได้รับเลือกเป็นประธานรุ่น ต่อมาใน พ.ศ. 2546 ได้เรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ซึ่งเป็นหลักสูตรสูงสุดของนักบริหารซึ่งเรียนยากมากและมีคนเรียนจำนวนมากเช่นกันทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น ท่านเหล่านั้นล้วนมีหน้าที่สำคัญในองค์กรและคณะทำงานสำคัญๆ ของประเทศ ทั้งนั้น เช่น คสช.

                            อาจารย์ได้รับเลือกให้ทำงานให้เป็นกรรมการของสปช. จากการเสนอชื่อจากองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร คือแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย เพราะอาจารย์มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนของแพทย์ได้และจากการที่ได้มีประสบการณ์ได้พบและรู้จักคนมามาก

 

บทบาทในอนาคตของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยและ สปช. จะเป็นอย่างไร

                            บทบาทของศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ ในส่วนของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทำประโยชน์ให้สมาชิกของสมาคมฯ แต่สำหรับการเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นั้นอาจารย์ตั้งใจจะทำงานเพื่อดูแลแพทย์ทั้งประเทศ เพื่อรับรู้ผลการทำงานของแพทย์ซึ่งจะช่วยให้แพทย์อยู่รอดต่อไปเพื่อดูแลประชาชนได้ ปัจจุบันแพทย์จะดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุดเพื่อหายจากโรคโดยไม่คำนึงการประหยัดเงินของผู้ป่วยทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นจนเกิดการฟ้องร้องได้ ความเสียหายที่เกิดกับผู้ป่วยนั้นบางครั้งก็เป็นเหตุสุดวิสัย ในประเทศไทยแพทย์ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก ถ้าแพทย์หรือบุคลากรทางสาธารณสุขสาขาวิชาอื่นๆ พบกับความเดือดร้อนแล้วจะมีผลทางอ้อมทำให้การดูแลผู้ป่วยลำบากยากยิ่งขึ้น

 

ฝากข้อคิดให้กับสมาคมศิษย์เก่าแพทย์รามาธิบดี

                            ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ ได้ฝากข้อคิดเห็นแก่นักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีว่า โดยภารกิจหลักของนักศึกษาแพทย์ คือการเรียน แต่ไม่จำเป็นต้องเรียน 100 เปอร์เซ็นต์ อาจแบ่งเวลาให้กับสังคมและกิจกรรมได้บ้างในที่สุดสังคมก็จะคืนสิ่งดีๆ ให้

                            สมาคมศิษย์เก่าแพทย์รามาธิบดี ต้องการดูแลศิษย์เก่าแพทย์ของคณะฯ รวมทั้งญาติโดยช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ เมื่อศิษย์เก่าฯ พบความลำบากขอให้คิดถึงสมาคมฯ และคิดถึงคณะฯ ที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างดี แต่ถ้าศิษย์เก่าท่านใดมีเกียรติมีฐานะดีแล้วก็แบ่งปันมาช่วยเหลือสมาคมฯ และคณะฯ ก็จะเป็นการดี

 

บรรยากาศการเรียนในคณะฯ

                            ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ ศัลย์วิวรรธน์ เป็นศิษย์เก่าแพทย์รามาธิบดีรุ่น 6 เล่าถึงบรรยากาศการเรียนในคณะฯ โดยเริ่มจากเรียนมัธยมต้น ที่โรงเรียนวัดนวลวรดิษฐ์ เรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้เลือกคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นอันดับ 1 (การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยสามารถเลือกได้ 6 อันดับ ถ้าไม่ได้ทั้ง 6 อันดับ ต้องสอบใหม่ในปีต่อไป) สมัยนั้นมีนักเรียนนิยมชมชอบคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมากเพราะเป็นคณะแพทย์ใหม่มีวิทยาการทันสมัยมีอาจารย์ที่มีความสามารถ (ในความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์) วิธีการเรียนในมหาวิทยาลัยต่างจากการเรียนในช่วงระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษา คือ ต้องดูแลตัวเองจัดการตัวเองและต้องมีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควร

                            นักศึกษาแพทย์ทั้งของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลในระยะแรกเข้าชั้นปีที่ 1 – 4 ต้องเป็นนักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลก่อน สำหรับรุ่นอาจารย์ คือรุ่นที่ 6 ซึ่งเข้ามาใน พ.ศ. 2513 เรียนตามที่กล่าวมา แต่ใน พ.ศ. 2515 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ มหาวิทยาลัยมหิดลได้เปลี่ยนระบบการสอบคัดเลือก โดยนักศึกษาทุกคนที่สอบได้และประสงค์จะเป็น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์ นักรังสีการแพทย์ ต้องเรียนรวมกัน เมื่อเรียนปี 2 แล้วจึงแยกโดยการสอบแข่งขันต่ออีกครั้ง ทำให้การเลือกเรียนแพทย์ของนักเรียนเปลี่ยนไป โดยนักเรียนเลือกคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอันดับ 1 ส่วนคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจะถูกเลือกเป็นอันดับต่อมา ซึ่งเป็นลักษณะนี้อยู่ 3 ปี จึงถูกยกเลิกไป