การรับคำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา

บริการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของเรา
นัดหมายรับบริการ
  • ให้คำปรึกษาการสืบค้นข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ให้คำปรึกษาด้านการขอรับอนุสิทธิบัตร/สิทธิบัตร
  • ให้คำปรึกษาด้านลิขสิทธิ์
  • ให้คำปรึกษาด้านการขอรับเครื่องหมายทางการค้า
  • ให้คำปรึกษาการนำทรัพย์สินทางปัญญาออกสู่เชิงพาณิชย์
  • ให้คำปรึกษาด้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

 

FAQ

Q1: เราขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาไปทำไม ?

เพื่อให้ผลงานหรือสิ่งประดิษฐ์ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในประเทศหรือภูมิภาคที่กำหนด ซึ่งช่วยให้เจ้าของสิทธิ์สามารถ:
- ป้องกันการลอกเลียนหรือการนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ใช้สิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การให้สิทธิ์ใช้งาน (Licensing) หรือการขายสิทธิ์
- ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ละเมิดสิทธิ์
- เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของผลงาน

Q2: อะไรบ้างที่สามารถขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาได้ ?

ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญาที่สามารถขึ้นทะเบียนได้ ได้แก่:

ประเภท

ตัวอย่าง

หน่วยงานที่ดูแล

สิทธิบัตร (Patent)

สิ่งประดิษฐ์ กระบวนการผลิต

กรมทรัพย์สินทางปัญญา

อนุสิทธิบัตร (Petty Patent)

สิ่งประดิษฐ์ที่มีนวัตกรรมไม่สูงมาก

กรมทรัพย์สินทางปัญญา

ลิขสิทธิ์ (Copyright)

งานเขียน เพลง ภาพยนตร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์

กรมทรัพย์สินทางปัญญา

เครื่องหมายการค้า (Trademark)

โลโก้ ชื่อแบรนด์

กรมทรัพย์สินทางปัญญา

ความลับทางการค้า (Trade Secret)

สูตรอาหาร เทคนิคการผลิต

ไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่ต้องมีการเก็บรักษา

Q3: การขอรับความคุ้มครองทำได้อย่างไร ?

ขั้นตอนทั่วไปในการขอรับความคุ้มครอง ได้แก่:
1. เตรียมเอกสาร เช่น ข้อถือสิทธิ์ รายละเอียดทางเทคนิค รูปภาพ หรือผลงาน
2. ยื่นคำขอ ต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศที่ต้องการความคุ้มครอง
3. ตรวจสอบรูปแบบและสาระ โดยเจ้าหน้าที่
4. ประกาศโฆษณา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คัดค้านแสดงความเห็น
5. รับสิทธิ์ หากไม่มีการคัดค้านหรือผ่านการพิจารณา

Q4: ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญามีอะไรบ้าง ?

ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:
- ค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ (แตกต่างตามประเภทและประเทศ)
- ค่าจ้างนักกฎหมายหรือ Patent Agent เพื่อช่วยร่างข้อถือสิทธิ์ให้ชัดเจนและครอบคลุม
- ค่าบริการแปลเอกสาร หากต้องยื่นในประเทศที่ใช้ภาษาต่างกัน
- ค่าทำการสืบค้นสิทธิบัตร (Patent Search / FTO) เพื่อศึกษาว่ามีสิทธิ์ที่ทับซ้อนอยู่หรือไม่

Q5: การศึกษา Freedom to Operate (FTO) คืออะไร ? ทำเพื่ออะไร ? ควรเริ่มทำเมื่อใด ?

FTO (Freedom to Operate) คือการสืบค้นและวิเคราะห์ว่า มีสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญาใดที่อาจขัดขวางการนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในประเทศเป้าหมาย
หรอไม่ และทำเพื่อ:
- ป้องกันการละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น
- ลดความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง
- วางแผนการพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ไม่ทับสิทธิ์
ควรทำ: ก่อนการผลิต การจำหน่าย หรือการเผยแพร่ผลงานในเชิงพาณิชย์หรือสังคม

Q6: FTO ทำอย่างไร ? ควรทำโดยใคร ?

การทำ FTO ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก:
1. สืบค้นสิทธิบัตรอย่างเป็นระบบ (Systematic Patent Search) โดยใช้ฐานข้อมูลสิทธิบัตรระดับสากล เช่น WIPO, USPTO, EPO
2. คัดเลือกสิทธิบัตรที่ใกล้เคียง กับผลงานของตน
3. วิเคราะห์ข้อถือสิทธิ์ โดยเปรียบเทียบทีละข้อกับผลงานของตน
4. จัดทำรายงาน FTO เพื่อสรุปผลการวิเคราะห์

 

ขั้นตอนการดำเนินงานขอรับความคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญา


ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทลิขสิทธิ์