ที่มาและความสำคัญ
ศูนย์เซลล์บำบัดและยีนบำบัดเป็นศูนย์กลางและเป็นต้นแบบของการบูรณาการการใช้กระบวนการคุณภาพผสมผสานกับความเชี่ยวชาญจากทีมสหสาขาที่มีความมุ่งมั่นและร่วมแรงร่วมใจกันในการยกระดับคุณภาพของกระบวนการการดูแลผู้ป่วยเฉพาะโรคแบบองค์รวมตามมาตรฐานวิชาชีพระดับสากลอย่างต่อเนื่องโดยเน้นผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งยังมีหน้าที่ให้การกำกับดูแลงานการศึกษา การวิจัย และเป็นผู้นำนวัตกรรมการรักษา ด้านการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด เซลล์บำบัดและยีนบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยและ ผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความพึงพอใจในการรับบริการ บุคลากรได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องและมีความสุขในการทำงาน
ประวัติความเป็นมา
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงแสงสุรีย์ จูฑา
ศูนย์เซลล์บำบัดและยีนบำบัดเริ่มดำเนินการครั้งแรกด้วยการนำทีมโดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงแสงสุรีย์ จูทา ในนามโครงการปลูก ถ่ายไขกระดูก ภายใต้หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์และภาควิชา กุมารเวชศาสตร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 รักษาผู้ป่วยกลุ่มที่มีความผิดปกติของโรคทางระบบเลือด โรคมะเร็ง โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเลือดจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง โรคไขกระดูกฝ่อชนิด รุนแรง ภาวะพร่องภูมิคุ้มกันร่างกายแต่กำเนิด (Primaryimmunodefciency syndrome) ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมากกว่า 1,300 ราย และมีโอกาสหายขาดจากโรคประมาณร้อยละ 80-90
ในปี พ.ศ.2558 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่โดยโครงการปลูกถ่ายไขกระดูกได้เปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์ปลูก ถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต และอยู่ภายใต้การกำกับของศูนย์ความเป็นเลิศเนื่องด้วยผลการดำเนินการที่ผ่านมามีความโดดเด่นในการพัฒนาคุณภาพ รูปแบบการรักษาผู้ป่วยที่ซับซ้อน การคิดค้นนวัตกรรม งานวิจัยที่สร้างองค์ความ รู้ใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอเชิงนโยบายในการลดปัญหาสุขภาพของประชาชน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรับบริการ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบทีมสหสาขาที่ดีและมีการถ่ายทอดความรู้ในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการปลูก ถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดให้บุคลากรหลากหลายสาขา ทั้งภายในและภายนอกองค์กรทั่วประเทศและระดับนานาชาติ ส่งผลให้เกิดความพร้อมและได้รับการรับรองเฉพาะโรคจากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์กรมหาชน) ครั้งแรกเมื่อ 4 มีนาคม 2562
ในปี พ.ศ.2562 ได้เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรกุมารเวชศาสตร์: การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต เป็นแห่งแรก นอกจาก นี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐานคุณสมบัติโรงพยาบาลเจาะเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติจากสภากาชาด (TSCDR) ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ถึง 30 เมษายน พ.ศ. 2567 สามารถให้การดูแลเก็บและถนอมเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจาก ผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ (unrelated Donor) ตามเกณฑ์และมาตรฐาน TSCDR
ทางศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ได้พัฒนาแนวทางการรักษาที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เช่น การรักษา Gene therapyสำหรับในปี พ.ศ.2564 ทางศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ได้พัฒนาแนวทางการรักษาสมัยใหม่เพื่อผู้ป่วยทางโลหิตวิทยาโดยการรักษาด้วยวิธีการ CAR T-Cell Therapy ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเลือดสามารถขาดจากโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างนวัตกรรมการ รักษารูปแบบใหม่ที่เน้นความปลอดภัยตามหลักวิชาการ มาตรฐานวิชาชีพและกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
เพื่อความเข้าใจ และให้การดำเนินงานสอดคล้องกันในปี พ.ศ.2566 ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์เซลล์บำบัดและยืนบำบัด ภายใต้ศูนย์ความเป็นเลิศ
การพัฒนาและนวัตกรรม
- ปี พ.ศ.2532 เริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดโดยใช้กระดูกของตนเอง (autologous hematopoietic stem celltransplantation) รายแรกในผู้ป่วยเด็กที่วินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Burkitt's Lymphoma
- ปี พ.ศ.2533 เริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากพี่น้อง (matched-related donor (MRD) hematopoietic stemcell transplantation) รายแรกในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่วินิจฉัยไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia)
- ปี พ.ศ.2538 ออกแบบและพัฒนาห้องเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตที่ได้มาตรฐานภายในศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
- ปี พ.ศ.2540 เริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากสายสะดือของพี่น้อง (cord blood MRD hematopoietic stem cell transplantation) รายแรกในผู้ป่วยมะเรเม็ดเลือดขาวชนิด acute nonlymphoblastic leukemia (ANLL)
- ปี พ.ศ.2543 เริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากผู้บริจาคที่ไม่ใช่พี่น้อง (matched-unrelated donor (MUD) hematopoietic stem cell transplantation) รายแรกในผู้ป่วย ANLL โดยรับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากประเทศไต้หวัน
- ปี พ.ศ.2544 เริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากมารดา (haploidentical hematopoietic stem cell transplantation) รายแรกในผู้ป่วย ANLL
- ปี พ.ศ.2545 เริ่มเทคนิค non-myeloablative conditioning regimen รายแรก ในผู้ป่วยอายุมาก ซึ่งเป็นการปรับยาเคมีบำบัดในปริมาณต่ำกว่ากรณีทั่วไป โดยเพิ่มยากดภูมิคุ้มกันตัวอื่น ๆ เข้ามาแทน วิธีนี้จะทำในผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหากได้รับยาเคมีบำบัดปริมาณปกติ เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ (co-morbidity) เช่น โรคตับ
- ปี พ.ศ.2548 เริ่มนำ donor lymphocyte infusion (DLI) มาใช้รักษาผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในกรณีโรคกลับเป็นซ้ำ หรือผลตรวจไม่ได้เป็นเซลล์ผู้บริจาคทั้งหมด (loss of full donor chimerism) วิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้นหลังพบโรคกลับเป็นซ้ำ
- ปี พ.ศ.2554 เริ่มทำการปลูกถ่ายไตร่วมกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดโดยอาศัยเทคนิค depletion of alloreactive T cell fortolerance induction ในผู้ป่วยเด็ก ทำให้ผู้ป่วยปลูกถ่ายไตไม่ต้องรับประทานยากดภูมิตลอดชีวิต
- ปี พ.ศ.2560 เริ่มทำยีนบำบัดในโรคธาลัสซีเมีย (gene therapy for B-Thalassemia disease (HB204-HB207))
- ปี พ.ศ.2562 เริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากผู้บริจาคที่ไม่ใช่พี่น้องที่มีความเข้ากันของเนื้อเยื่อไม่ตรงกัน Mismatched-unrelated donor hematopoietic stem cell transplantation
เริ่มทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดโดยใช้กระดูกของตนเอง (autologous hematopoietic stem celltransplantation) เพื่อรักษา Scleroderma และ Mutiple sclerosis ได้ดีทั้งในผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้ป่วยเด็ก
รักษาผู้ป่วย Wiskott Aldrich syndrome ขณะอายุเพียง 4 เดือน น้ำหนักตัว 5.12 ก.ก. โดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากมารดา (haploidentical hematopoietic stem cell transplantation) - ปี พ.ศ.2564 รักษาโดย Chimeric antigen receptor (CAR) T-cell therapy ในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้เป็นผลสำเร็จโดยผู้ป่วยสุขภาพแข็งแรงหายจากโรคและไม่ติดเชื้อโควิด-19