2
10
0
0
0
NB.1.8.1: เมื่อโควิด-19 กลายพันธุ์อีกครั้ง บทเรียนที่เราต้องใส่ใจมากกว่าแค่ "ชื่อใหม่"
06-06-2025
06-06-2025
- ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
 
แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย แต่ SARS-CoV-2 ยังคงกลายพันธุ์ต่อเนื่อง โดยสายพันธุ์ NB.1.8.1 ซึ่งเป็นลูกผสมจาก JN.1 และ XBB ผ่าน XDV.1.5.1 กำลังได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก การกลายพันธุ์ของมัน เช่น V445H, A435S และ T478I ส่งผลให้ไวรัสแพร่เชื้อได้ดีขึ้นและหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น แม้ WHO ประเมินว่าความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ข้อมูลยังมีจำกัด จึงต้องเน้นเฝ้าระวังด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมและฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
________________________
การระบาดของโควิด-19 ได้ทิ้งบทเรียนมากมายไว้ให้มวลมนุษยชาติ และแม้สถานการณ์จะคลี่คลายไปมาก แต่ไวรัส SARS-CoV-2 ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรา พร้อมกับการกลายพันธุ์อย่างไม่หยุดนิ่ง ล่าสุด สายพันธุ์ย่อยใหม่ที่ชื่อว่า NB.1.8.1 ได้ปรากฏตัวขึ้นและกำลังเป็นที่จับตามองทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2568) แม้ข่าวสารส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความสามารถในการแพร่เชื้อหรือความรุนแรง แต่บทความนี้จะชวนมอง NB.1.8.1 ในมุมที่ลึกกว่านั้น เพื่อให้เราเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับการอยู่ร่วมกับไวรัสนี้ในระยะยาว
________________________
NB.1.8.1 ไม่ใช่แค่ไวรัสหน้าใหม่ แต่เป็น "กระจกสะท้อน" วิวัฒนาการไม่สิ้นสุด
________________________
NB.1.8.1 ถูกตรวจพบครั้งแรกจากตัวอย่างที่เก็บเมื่อปลายเดือนมกราคม 2568 และถูกจัดให้เป็น "สายพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การติดตาม" (Variant Under Monitoring - VUM) โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 สิ่งที่น่าสนใจคือ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของ Omicron และเป็นเชื้อสายของ XDV.1.5.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสม (recombinant variant) ที่สืบเชื้อสายมาจาก JN.1 อีกทอดหนึ่ง สำหรับ XDV.1.5.1 นั้น เป็นที่เข้าใจว่าเกิดจากการผสมผสานทางพันธุกรรมระหว่างสายพันธุ์ย่อย XDE และ JN.1
“สายพันธุ์ XDV เป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่มีโปรตีนหนามจาก JN.1 และส่วนอื่นของจีโนมจากสายพันธุ์ในตระกูล XBB”
การที่ NB.1.8.1 มีบรรพบุรุษเป็นสายพันธุ์ลูกผสม ชี้ให้เห็นถึงกลไกสำคัญในการวิวัฒนาการของ SARS-CoV-2 นั่นคือ "การผสมผสานทางพันธุกรรม" (recombination) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไวรัสสองสายพันธุ์ที่แตกต่างกันติดเชื้อในเซลล์เจ้าบ้านเดียวกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม และอาจนำไปสู่การรวมตัวของลักษณะเด่นต่างๆ เช่น การแพร่เชื้อที่เร็วขึ้น หรือการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าการสะสมการกลายพันธุ์ทีละจุด นี่คือสิ่งที่ทำให้ NB.1.8.1 มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนหนาม (Spike protein) หลายตำแหน่งเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ LP.8.1 ที่เคยระบาดเด่นก่อนหน้า เช่น T22N, F59S, G184S, A435S, V445H, และ T478I การกลายพันธุ์เหล่านี้บางตำแหน่ง เช่น V445H อาจช่วยให้ไวรัสจับกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น (เพิ่มโอกาสแพร่เชื้อ) ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ เช่น A435S และ T478I อาจเกี่ยวข้องกับการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน
________________________
ผลกระทบของการกลายพันธุ์ในสายพันธุ์โอมิครอนย่อย NB.1.8.1 ต่อการแพร่กระจายและภูมิคุ้มกัน
________________________
สายพันธุ์โอมิครอนย่อย NB.1.8.1 มีการกลายพันธุ์สำคัญในโปรตีนหนาม ได้แก่ V445H, A435S และ T478I ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อความสามารถของไวรัสในการแพร่กระจายและหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โดย:
• V445H
มีแนวโน้มช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจับกับตัวรับ ACE2 บนเซลล์มนุษย์ ทำให้ไวรัสสามารถเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้การแพร่กระจายของเชื้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• A435S
อาจลดความสามารถของแอนติบอดีบางชนิดในการยับยั้งไวรัส โดยเฉพาะแอนติบอดีในกลุ่ม Class 1 และ Class 1/4 ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ไวรัสสามารถหลีกเลี่ยงการถูกทำลายได้บางส่วน
• T478I
ช่วยเสริมให้ไวรัสหลบเลี่ยงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น โดยเฉพาะจากแอนติบอดีในกลุ่ม Class 1/2 ซึ่งมีบทบาทในการป้องกันการติดเชื้อ
แม้คุณสมบัติดังกล่าวจะเพิ่มศักยภาพของไวรัสในเชิงชีวภาพ แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่ายังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าสายพันธุ์ NB.1.8.1 ก่อให้เกิดโรครุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นที่กำลังระบาดอยู่ในปัจจุบัน.
________________________
"ความเสี่ยงต่ำ แต่ความมั่นใจก็ต่ำ": อ่านสัญญาณจาก WHO ให้ลึกซึ้ง
________________________
แม้ WHO จะประเมินว่าความเสี่ยงโดยรวมต่อสาธารณสุขจาก NB.1.8.1 ในระดับโลกยังคง "ต่ำ" แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือการประเมินนี้มาพร้อมกับ "ความเชื่อมั่นในระดับต่ำ" (Low Confidence) ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความได้เปรียบในการเติบโต (Growth Advantage) การหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน (Immune Escape) หรือความรุนแรงของโรค (Severity)
"ความเชื่อมั่นต่ำ" นี้ไม่ได้หมายความว่าเราควรตื่นตระหนก แต่เป็นสัญญาณว่าข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับ NB.1.8.1 ยังมีจำกัดและต้องการการศึกษาเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน เช่น ข้อมูลการแพร่กระจายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในบางภูมิภาค อาจเกิดจากคุณสมบัติของไวรัสเอง หรืออาจเป็นผลจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ระดับภูมิคุ้มกันของประชากร หรือความครอบคลุมของการเฝ้าระวังในแต่ละพื้นที่ การที่ WHO สื่อสารความไม่แน่นอนนี้ออกมาอย่างโปร่งใส จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าเรายังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และไม่ควรประมาทเพียงเพราะเห็นคำว่า "ความเสี่ยงต่ำ"
________________________
มองข้ามตัวเลขเปอร์เซ็นต์: ความเหลื่อมล้ำในการเฝ้าระวังและวัคซีน กระทบเราทุกคน
________________________
ข้อมูล ณ กลางเดือนพฤษภาคม 2568 พบ NB.1.8.1 ในหลายประเทศทั่วโลก 1 โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก อเมริกา และยุโรป 1 อย่างไรก็ตาม การตรวจพบที่จำกัดในแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน (แม้จะมีรายงานในไทยและมัลดีฟส์ ) และตะวันออกกลาง อาจไม่ได้สะท้อนสถานการณ์จริงทั้งหมด แต่เป็นภาพสะท้อนของความแตกต่างในศักยภาพการเฝ้าระวังทางพันธุกรรมของไวรัสในแต่ละภูมิภาค
ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับเรื่องความครอบคลุมของวัคซีนทั่วโลกที่ยังคงน่ากังวล โดยเฉพาะวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มเสี่ยง WHO ชี้ว่าอัตราการรับวัคซีนโควิด-19 ในปี 2567 ยังอยู่ในระดับต่ำมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ 9 ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อประเทศนั้นๆ แต่ยังเป็นความเสี่ยงร่วมกันของประชาคมโลก เพราะพื้นที่ที่มีการเฝ้าระวังต่ำและอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ อาจกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อให้ไวรัสกลายพันธุ์และแพร่กระจายไปยังที่อื่นได้เสมอ
________________________
หัวใจสำคัญของการรับมือ: การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมจาก "ผู้ป่วย" และ "น้ำเสีย"
________________________
การจะเข้าใจและรับมือกับสายพันธุ์ใหม่อย่าง NB.1.8.1 ได้อย่างทันท่วงทีนั้น การเฝ้าระวังทางพันธุกรรม (Genomic Surveillance) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง และไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตรวจหาเชื้อในผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตรวจใน น้ำเสีย (Wastewater Surveillance) ด้วย
• การเฝ้าระวังจากผู้ป่วย: ช่วยให้เราทราบว่าสายพันธุ์ใดกำลังระบาดในประชากร สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของไวรัสที่อาจส่งผลต่อการแพร่เชื้อ ความรุนแรง หรือการตอบสนองต่อวัคซีนและยา ข้อมูลนี้จำเป็นอย่างยิ่งในการปรับปรุงแนวทางการรักษา การพัฒนาวัคซีน และการวางแผนด้านสาธารณสุข
• การเฝ้าระวังจากน้ำเสีย: เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการตรวจจับการระบาดในชุมชนได้ในระยะเริ่มต้น แม้ในกลุ่มผู้ที่ไม่แสดงอาการหรือไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อ การตรวจพบสายพันธุ์ใหม่หรือการเพิ่มขึ้นของสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งในน้ำเสีย สามารถเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้ระบบสาธารณสุขเตรียมพร้อมรับมือได้ก่อนที่จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน
ในหลายประเทศ รวมถึงออสเตรเลีย การเฝ้าระวังจากน้ำเสียได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามความชุกของ NB.1.8.1 และบ่งชี้ถึงการแพร่กระจายในวงกว้างในชุมชน การลดลงของการตรวจหาเชื้อในผู้ป่วยรายบุคคลทำให้การเฝ้าระวังทั้งสองรูปแบบนี้ยิ่งทวีความสำคัญ เพื่อให้ได้ภาพรวมการระบาดที่แม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้น
________________________
อาการเดิมๆ แต่บทเรียนใหม่: อยู่กับโควิด-19 อย่างเข้าใจใน "ความปกติใหม่"
________________________
สำหรับอาการป่วยจาก NB.1.8.1 นั้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ายังคงคล้ายคลึงกับสายพันธุ์ Omicron อื่นๆ ที่ผ่านมา เช่น เจ็บคอ มีไข้ ไอ อ่อนเพลีย คัดจมูก ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว และยังไม่มีหลักฐานว่า NB.1.8.1 ก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน ข่าวดีคือ วัคซีนโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะวัคซีนที่พัฒนาโดยอ้างอิงจากสายพันธุ์ JN.1 คาดว่าจะยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการรุนแรงจาก NB.1.8.1 ได้
การปรากฏตัวของ NB.1.8.1 ตอกย้ำว่าเรากำลังอยู่ใน "ความปกติใหม่" (New Normal) ที่โควิด-19 จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การรับมือจึงไม่ใช่การตื่นกลัวทุกครั้งที่มีสายพันธุ์ใหม่ แต่คือการสร้างความเข้าใจและปรับตัวอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึง:
• การให้ความสำคัญกับวัคซีนเข็มกระตุ้น: โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันให้สูงพอในการป้องกันอาการรุนแรง
• การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน: เช่น การล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัยในที่แออัดหรือเมื่อมีอาการป่วย ยังคงเป็นมาตรการสำคัญ
• การตระหนักว่าไวรัสจะยังคงกลายพันธุ์: และการเฝ้าระวัง ติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เป็นสิ่งจำเป็น
 
อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ
ชื่อผู้เผยแพร่
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - 06-06-2025
แท็คยอดนิยม
แสดงความคิดเห็น