1
14
0
0
0
เมื่อพื้นที่นอกเมืองขาดหมอ ประชาชนขาดที่พึ่ง ในขณะที่โลกกำลังฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 หลายประเทศยังเผชิญปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง นั่นคือการกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
31-03-2025
31-03-2025
- ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
 
 
งานวิจัยล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาเผยตัวเลขที่น่าตกใจ: อัตราการทำงานของแพทย์จบใหม่ในพื้นที่ห่างไกลลดลงถึง 82% หลังการระบาดของโควิด-19
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังยกระดับการดูแลสุขภาพประชาชนผ่านนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะ "เวชศาสตร์จีโนมิกส์วิถีชีวิต" (Lifestyle genomics medicine) ซึ่งผสมผสานความรู้ด้านพันธุกรรมเข้ากับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดตัวโครงการต้นแบบให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพที่ปรับให้เข้ากับพันธุกรรมเฉพาะบุคคล เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์จีโนมฯ กับ คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น ในกำกับของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จังหวัดเชียงราย
นอกจากนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ยังร่วมมือกับสถาบันเวชศาสตร์วิถีชีวิต กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านเพื่อวุฒิบัตรความเชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (เวชศาสตร์วิถีชีวิต) ด้านจีโนมิกส์
บทความนี้จะพาท่านสำรวจวิกฤตแพทย์ชนบทยุคหลังโควิด เปรียบเทียบระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ค้นหาทางออกและบทเรียนสำคัญสำหรับระบบสาธารณสุขไทย พร้อมศึกษานวัตกรรมเวชศาสตร์จีโนมิกส์วิถีชีวิต—ความหวังใหม่ในการดูแลสุขภาพคนไทยแบบเฉพาะบุคคล
> "เราอยากทำให้ 'การดูแลสุขภาพตามรหัสพันธุกรรม' เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนไทยทุกคน ไม่ใช่บริการพิเศษสำหรับคนมีรายได้สูงเท่านั้น" – เข็มมุ่งของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี
________________________________________________
สถานการณ์ในสหรัฐอเมริกา: ตัวเลขและสาเหตุ
ตัวเลขที่น่าตกใจจากงานวิจัย Harvard
การศึกษาโดยสถาบัน Harvard Pilgrim Health Care Institute ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Medical Care ได้ติดตามชะตากรรมของแพทย์จบใหม่จำนวน 31,925 คนในรัฐนิวยอร์กระหว่างปี 2010-2022 ผลการวิจัยเปิดเผยข้อมูลที่น่าวิตก:
• แพทย์จบใหม่ส่วนใหญ่ยังได้งานทำ – จากกลุ่มตัวอย่าง 16,612 คน (52.0%) ที่ตอบแบบสอบถาม โอกาสในการได้รับข้อเสนองานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.6% จากปี 2010 ถึง 2022 (จาก 86.6% เป็น 88.2%)
• แต่มุมมองต่อตลาดงานแย่ลง – สัดส่วนของผู้ที่รายงานว่าตลาดงานดีลดลงจาก 55.8% เหลือเพียง 44.1% สะท้อนความไม่มั่นใจในตลาดงานทางการแพทย์
• รายได้ดิ่งลง – เงินเดือนพื้นฐานเฉลี่ยของแพทย์จบใหม่ลดลงถึง 23,569 ดอลลาร์ จาก 288,257 ดอลลาร์ เหลือ 264,687 ดอลลาร์
• สถานที่ห่างไกลจากเมืองขาดแคลนแพทย์มากขึ้น – ที่น่าตกใจที่สุดคือ โอกาสในการทำงานในพื้นที่ห่างไกลลดลงถึง 82% จาก 3.4% เหลือเพียง 0.62%
สาเหตุของวิกฤตแพทย์ห่างไกลในสหรัฐอเมริกา
ปัญหาด้านการเงินของโรงพยาบาลห่างไกล
โรงพยาบาลในชนบทของสหรัฐฯ ประสบภาวะวิกฤตทางการเงินในช่วงโควิด-19 เนื่องจากต้องยกเลิกหัตถการที่ไม่จำเป็นซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และการรักษาผู้ป่วยโควิดกลับเพิ่มสูงขึ้น หลายแห่งถึงขั้นต้องปิดตัวลง
"โรงพยาบาลห่างไกลแห่งหนึ่งในมิสซิสซิปปีต้องประกาศล้มละลายหลังรายได้ลดลง 45% ในช่วงสามเดือนแรกของการระบาด" - รายงานจาก American Hospital Association
ความกังวลของแพทย์จบใหม่
แพทย์จบใหม่ที่เริ่มต้นอาชีพในช่วงวิกฤตเกิดความกังวลหลายประการ:
• ความมั่นคงในอาชีพ: โรงพยาบาลห่างไกลมีความเสี่ยงต่อการปิดตัวสูง
• ทรัพยากรจำกัด: ขาดอุปกรณ์และบุคลากรสนับสนุน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต
• ความปลอดภัย: ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงในโรงพยาบาลเล็กที่มีระบบป้องกันจำกัด
นโยบายที่เปลี่ยนไป
รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ชะลอโครงการสนับสนุนการทำงานในพื้นที่ห่างไกลหลายโครงการ เช่น โครงการยกเว้นหนี้การศึกษาสำหรับแพทย์ที่ทำงานในพื้นที่ขาดแคลน เพื่อโยกงบประมาณไปรับมือกับโควิด-19 ทำให้แรงจูงใจในการไปทำงานในพื้นที่ห่างไกลลดลง
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (Primary Care)
แพทย์ปฐมภูมิหรือแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เนื่องจาก:
• ผู้ป่วยงดเข้ารับบริการตรวจสุขภาพประจำปีหรือโรคทั่วไปที่ไม่เร่งด่วน
• คลินิกปฐมภูมิหลายแห่งต้องปิดตัวชั่วคราวในช่วงการระบาด
• การเปลี่ยนไปให้บริการทางไกล (Telemedicine) ไม่สามารถทดแทนรายได้ที่หายไป
แพทย์ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน
แพทย์ต่างชาติในสหรัฐฯ ประสบกับการลดลงของเงินเดือนมากที่สุด ด้วยข้อจำกัดด้านวีซ่าทำให้พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ง่าย และมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าแพทย์ที่เป็นพลเมืองอเมริกัน
________________________________________________
ระบบสาธารณสุขไทย: ความแตกต่างและจุดแข็ง
ความเหมือนของความท้าทายที่ทั้งสองประเทศเผชิญ
ทั้งไทยและสหรัฐฯ ต่างเผชิญความท้าทายคล้ายคลึงกันในหลายด้าน:
• ปัญหาด้านการเงิน: โรงพยาบาลต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อรับมือกับการระบาด
• การปรับตัวสู่ระบบออนไลน์: การให้บริการทางการแพทย์ผ่านระบบทางไกลเติบโตรวดเร็วในทั้งสองประเทศ
• ความท้าทายในการจูงใจ: แพทย์ยังคงลังเลที่จะไปทำงานในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต
จุดแข็งของระบบไทย:
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่ช่วยให้สามารถรับมือกับวิกฤตได้ดีกว่า:
1. ระบบการใช้ทุนแพทย์
"การกระจายแพทย์ลงสู่พื้นที่ห่างไกลของไทยได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ทรงเน้นความสำคัญของการดูแลประชาชนในถิ่นทุรกันดาร"
แพทย์จบใหม่ในไทยต้องทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งช่วยให้มีการกระจายแพทย์ไปยังพื้นที่ห่างไกลอย่างทั่วถึง ต่างจากสหรัฐฯ ที่ใช้ระบบสมัครใจและแรงจูงใจทางการเงินเป็นหลัก
2. ระบบเงินเดือนที่มั่นคง
แพทย์ในระบบราชการไทยได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ค่อนข้างคงที่ แม้ในช่วงวิกฤต ทำให้แพทย์มีความมั่นคงทางการเงินมากกว่า
3. ภาระหนี้สินที่น้อยกว่า
แพทย์จบใหม่ในสหรัฐฯ มักมีหนี้สินจากการศึกษาเฉลี่ย 200,000-400,000 ดอลลาร์ ทำให้ปัจจัยด้านรายได้เป็นตัวตัดสินใจหลักในการเลือกงาน ในขณะที่แพทย์ไทยโดยเฉพาะผู้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐมีภาระหนี้สินน้อยกว่ามาก
4. ความต้องการแพทย์ที่ยังสูง
ประเทศไทยยังมีปัญหาการขาดแคลนแพทย์ โดยมีอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรประมาณ 1:1,700 (เทียบกับ 1:400 ในสหรัฐฯ) ทำให้แพทย์จบใหม่ยังเป็นที่ต้องการสูงแม้ในช่วงวิกฤต
________________________________________________
โครงสร้างสาธารณสุขปฐมภูมิไทย: จุดแข็งที่โลกยอมรับ
เครือข่ายบริการปฐมภูมิที่ครอบคลุม
ประเทศไทยมีระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ:
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
สปสช. เป็นองค์กรที่บริหารระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ครอบคลุมประชากรกว่า 47 ล้านคน ด้วยระบบการจ่ายเงินแบบเหมาจ่ายรายหัว (Per capita)
ระบบนี้ทำให้โรงพยาบาลชุมชนและหน่วยบริการปฐมภูมิมีรายได้ที่แน่นอน แม้ในช่วงที่จำนวนผู้ป่วยลดลง ซึ่งต่างจากในสหรัฐฯ ที่รายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยและบริการที่ให้ (Fee for service)
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
อบจ. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรให้กับหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่มีการจัดสรรงบประมาณพิเศษเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ผ่านกองทุนสุขภาพตำบล
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)
รพ.สต. กว่า 9,000 แห่งทั่วประเทศเป็นด่านหน้าของระบบสาธารณสุขไทย แม้จะไม่มีแพทย์ประจำทุกแห่ง แต่มีพยาบาลวิชาชีพและนักวิชาการสาธารณสุขที่ให้บริการขั้นพื้นฐาน
ในช่วงโควิด-19 รพ.สต. มีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวัง คัดกรอง และติดตามผู้ป่วยในชุมชน สหรัฐฯ ไม่มีเครือข่ายบริการปฐมภูมิที่ครอบคลุมในลักษณะนี้
นวัตกรรมการให้บริการปฐมภูมิในเขตเมือง
คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น
สปสช. ได้พัฒนา "คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น" หรือ Primary Care Cluster ในเขตเมือง เป็นเครือข่ายคลินิกเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้ดูแลประชาชนในระบบบัตรทอง
แต่ละคลินิกรับผิดชอบดูแลประชากรในพื้นที่ประมาณ 10,000-15,000 คน และได้รับงบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัว
"คลินิกชุมชนอบอุ่น สร้างความสมดุลระหว่างการเป็นผู้ประกอบการอิสระและการบริการสาธารณะ ทำให้แพทย์จบใหม่มีทางเลือกในการประกอบวิชาชีพมากขึ้น"
คลินิกเหล่านี้ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่และเพิ่มโอกาสในการทำงานของแพทย์จบใหม่ในชุมชนเมือง
คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น
นอกจากคลินิกเวชกรรมแล้ว สปสช. ยังสนับสนุนการจัดตั้ง "คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น" ที่ให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพแก่ผู้ป่วยในชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้พิการ
ในช่วงโควิด-19 คลินิกเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วย Long COVID ซึ่งต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดและร่างกายอย่างต่อเนื่อง
________________________________________________
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี กับการยกระดับการป้องกันโรค NCDs
นวัตกรรมล่าสุดในการป้องกันโรค NCDs ในประเทศไทย คือความร่วมมือระหว่างศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กับคลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่นและคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่นในจังหวัดเชียงราย
โครงการนี้เป็นโครงการนำร่องในการนำเวชศาสตร์จีโนมิกส์วิถีชีวิต (Lifestyle genomics medicine) มาผนวกเข้ากับเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle medicine) ที่ผลักดันโดยกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข ลงสู่ประชาชนระดับรากหญ้า
เวชศาสตร์จีโนมิกส์วิถีชีวิต (Lifestyle Genomic Medicine) เข้าใจง่ายๆ
เวชศาสตร์จีโนมิกส์วิถีชีวิตเป็นวิธีการดูแลสุขภาพแบบใหม่ที่ปรับให้เหมาะกับรหัสพันธุกรรมของแต่ละคน โครงการของศูนย์จีโนมฯได้นำมาใช้ใน 3 ด้านหลัก:
1. กินอาหารตามยีน (โภชนพันธุศาสตร์)
เรียกง่ายๆ ว่า "กินให้เข้ากับตัวเอง" โดยดูจากรหัสพันธุกรรม:
• รู้ว่าอาหารแบบไหนเหมาะกับตัวเอง - บางคนเหมาะกับอาหารไขมันต่ำ บางคนต้องลดแป้ง ขึ้นอยู่กับว่ามียีนแบบไหน
• รู้ว่าต้องเพิ่มวิตามินอะไรพิเศษ - เช่น บางคนร่างกายใช้วิตามินบี9 (โฟเลต) ได้ไม่ดี อาจต้องกินมากกว่าคนทั่วไป
• รู้ว่าอะไรควรหลีกเลี่ยง - เช่น บางคนย่อยคาเฟอีนช้า ดื่มกาแฟแล้วใจสั่นนาน ควรลดปริมาณกาแฟ
นักโภชนาการในโครงการจะใช้ข้อมูลนี้ออกแบบอาหารให้เหมาะกับคุณ ช่วยป้องกันเบาหวานและไขมันในเลือดสูง
2. ออกกำลังกายตามยีน
รหัสพันธุกรรมบอกเราได้ว่าควรออกกำลังกายแบบไหน:
• หาประเภทการออกกำลังกายที่ใช่ - บางคนเหมาะกับวิ่งหรือว่ายน้ำ บางคนเหมาะกับยกน้ำหนัก เพราะกล้ามเนื้อและหัวใจตอบสนองต่อการออกกำลังกายไม่เหมือนกัน
• รู้วิธีป้องกันการบาดเจ็บ - บางคนมียีนที่ทำให้เอ็นฉีกขาดง่าย ต้องอบอุ่นร่างกายและยืดเหยียดมากเป็นพิเศษ
• ปรับความหนักเบา - บางคนต้องออกกำลังกายหนักกว่าจึงจะเห็นผล บางคนแค่เบาๆ ก็ได้ประโยชน์แล้ว
นักกายภาพบำบัดจะช่วยสร้างโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะกับยีนของคุณ
3. รู้อายุที่แท้จริงของร่างกาย (Biological Clock)
การตรวจ Epigenetics ช่วยบอกว่าเซลล์ในร่างกายคุณแก่เร็วหรือช้ากว่าอายุจริง:
• รู้อายุที่แท้จริงของร่างกาย - คนอายุ 50 ปี อาจมีเซลล์เหมือนคนอายุ 45 หรือ 55 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
• ดูผลของการปรับวิถีชีวิต - หลังจากกินดี ออกกำลังกาย อายุของร่างกายจะลดลงได้จริงหรือไม่
• ป้องกันจุดอ่อน - หากพบว่าหลอดเลือดของคุณแก่เร็วกว่าส่วนอื่น จะได้ดูแลเป็นพิเศษด้วยการควบคุมความดัน อาหาร และการออกกำลังกาย
คลินิกจะตรวจซ้ำทุก 6-12 เดือน เพื่อดูว่าการปรับวิถีชีวิตช่วยชะลอความแก่ได้จริงหรือไม่
กรณีศึกษาง่ายๆ ให้เห็นภาพ
เรื่องของลุงสมชาย: จัดการเบาหวานด้วยอาหารตามยีน
ลุงสมชาย อายุ 42 ปี มีญาติหลายคนเป็นเบาหวาน ตัวเองยังไม่เป็น แต่ตรวจพบว่าน้ำตาลเริ่มสูงแล้ว
ผลตรวจยีนพบว่า ร่างกายลุงสมชายแพ้ข้าวและแป้งมากกว่าคนทั่วไป เพราะมียีนที่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงง่ายเมื่อกินอาหารจำพวกแป้ง
ทีมนักโภชนาการจึงแนะนำให้:
• ลดข้าวและแป้งลง 40%
• เพิ่มโปรตีนจากถั่วและปลา
• ออกกำลังกายแบบเดินเร็ววันละ 30 นาที ซึ่งเหมาะกับยีนของลุง
ผลลัพธ์: หลังทำตาม 6 เดือน ค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ลดจาก 5.9% (เกือบเป็นเบาหวาน) เหลือ 5.4% (ปกติ) โดยไม่ต้องกินยา
เรื่องของป้าสมศรี: ชะลอความแก่ด้วยการออกกำลังกายตามยีน
ป้าสมศรี อายุ 54 ปี สุขภาพดี แต่เมื่อตรวจ epigenetics พบว่าเซลล์ในร่างกายเธอแก่เร็วกว่าอายุจริงถึง 8 ปี
ผลตรวจยีนพบว่า ป้าสมศรีเหมาะกับการออกกำลังกายแบบสลับช่วงเข้มข้น (เช่น เดินเร็ว 2 นาที วิ่งเหยาะ 1 นาที สลับกัน) และการยกน้ำหนักเบาๆ
ทีมนักกายภาพบำบัดจึงออกแบบโปรแกรมให้:
• ออกกำลังกายแบบสลับช่วง 3 วันต่อสัปดาห์
• ฝึกกล้ามเนื้อด้วยยางยืดและดัมเบลเบาๆ 2 วันต่อสัปดาห์
• ปรับอาหารตามผลตรวจยีน เน้นอาหารต้านอนุมูลอิสระ
ผลลัพธ์: หลังทำตาม 1 ปี อายุชีวภาพลดลง 3 ปี กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น การอักเสบในร่างกายลดลง ความเสี่ยงโรคหัวใจลดลง
ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้
• รู้ก่อนป่วย: ตรวจพบความเสี่ยงก่อนที่โรคจะเกิด ทำให้ป้องกันได้ทันท่วงที
• ได้วิธีดูแลตัวเองที่ใช่: แทนที่จะใช้วิธีเดียวกับทุกคน จะได้แผนการดูแลสุขภาพที่ออกแบบเฉพาะตัวคุณ
• ประหยัดงบประมาณ: เน้นดูแลคนที่มีความเสี่ยงสูงก่อน ทำให้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า
• สร้างความรู้ใหม่: เก็บรวบรวมข้อมูลพันธุกรรมของคนไทย เพื่อพัฒนาการรักษาที่เหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ
• ช่วยให้คนอยากดูแลตัวเอง: เมื่อรู้ความเสี่ยงของตัวเอง คนมักจะมีแรงจูงใจในการเปลี่ยนพฤติกรรมมากขึ้น
แผนการขยายผลในอนาคต
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี มีแผนขยายโครงการสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ โดยมีแนวทางง่ายๆ ดังนี้:
1. ทำชุดตรวจยีนราคาถูกลง
o ร่วมมือกับบริษัทเอกชนพัฒนาชุดตรวจที่ราคาเข้าถึงได้
o เน้นตรวจเฉพาะยีนที่เกี่ยวข้องกับโรค NCDs ในคนไทย
o ลดต้นทุนเพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงได้
2. สร้างแอปมือถือช่วยดูแลสุขภาพส่วนตัว
o ช่วยอธิบายผลตรวจยีนให้เข้าใจง่าย
o แนะนำอาหารและการออกกำลังกายเฉพาะตัว
o ติดตามความก้าวหน้าในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
3. อบรมบุคลากรในท้องถิ่น
o สอนแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในคลินิกชุมชนทั่วประเทศ โดยเริ่มที่ คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จังหวัดเชียงรายเป็นที่แรก
o ให้สามารถใช้ข้อมูลพันธุกรรมในการดูแลคนไข้
o สร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่
4. เชื่อมต่อกับระบบสุขภาพที่มีอยู่
o รวมข้อมูลพันธุกรรมเข้ากับระบบบัตรทอง
o ทำให้ข้อมูลเดินทางไปกับตัวคนไข้
o ทำให้การดูแลต่อเนื่องไม่ว่าจะไปรักษาที่ไหน
"เราอยากทำให้ 'การดูแลสุขภาพตามรหัสพันธุกรรม' เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนไทยทุกคน ไม่ใช่บริการพิเศษสำหรับผู้มีรายได้สูงเท่านั้น" – เข็มมุ่งของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี
________________________________________________
แนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกลของไทย
จากบทเรียนของทั้งสองประเทศ ประเทศไทยสามารถพัฒนาต่อยอดระบบที่มีอยู่แล้วเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต:
1. การบูรณาการระบบสนับสนุน
ประเทศไทยควรเสริมความเข้มแข็งของระบบที่มีอยู่ โดย:
• ปรับปรุงค่าตอบแทน: ใช้กลไกของ สปสช. เพิ่มอัตราการจ่ายแบบเหมาจ่ายรายหัวในพื้นที่ห่างไกล
• สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน: ให้ อบจ. มีส่วนร่วมมากขึ้นในการพัฒนาที่พักอาศัย ทุนการศึกษาต่อเนื่อง และสวัสดิการ
• ยกระดับเทคโนโลยี: พัฒนาระบบ Telemedicine ที่เชื่อมต่อ รพ.สต. กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
2. การป้องกันโรค NCDs ในชนบทห่างไกล: ทางออกที่ยั่งยืน
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases หรือ NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคปอดเรื้อรัง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และเป็นภาระหลักของระบบสาธารณสุข
ทำไมต้องเน้นป้องกัน NCDs ในพื้นที่ห่างไกล?
• ลดภาระทางเศรษฐกิจ: ประชาชนที่มีสุขภาพดีสามารถทำงานและสร้างรายได้ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการจัดเก็บภาษี
• ลดภาระโรงพยาบาล: กว่า 70% ของผู้ป่วยในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วย NCDs ที่มีภาวะแทรกซ้อน
• ลดความจำเป็นในการส่งต่อ: หากสามารถควบคุมโรคในระดับชุมชนได้ จะลดการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลใหญ่
แนวทางการป้องกัน NCDs ในชนบทห่างไกล
1. หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ: สร้างชุมชนต้นแบบที่เน้นการรับประทานอาหารสุขภาพ ออกกำลังกาย และลดการบริโภคแอลกอฮอล์และบุหรี่ โดยบูรณาการกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
2. คลินิก NCDs ครบวงจรใน รพ.สต.: ยกระดับ รพ.สต. ให้มีคลินิกเฉพาะทางสำหรับโรค NCDs โดยใช้ระบบพี่เลี้ยงจากโรงพยาบาลแม่ข่ายและเทคโนโลยี Telemedicine
3. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชี่ยวชาญด้าน NCDs: พัฒนา อสม. ให้มีความเชี่ยวชาญในการคัดกรอง ติดตาม และให้คำแนะนำด้านโรค NCDs
4. แอปพลิเคชันติดตามสุขภาพประจำตัว: พัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ประชาชนสามารถติดตามค่าระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง พร้อมส่งข้อมูลให้ รพ.สต.
"การลงทุนในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) นับเป็นหนึ่งในแนวทางที่คุ้มค่าที่สุดในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ทุกๆ 1 บาทที่ลงทุนไปในการป้องกันโรค NCDs จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ถึง 7 บาท อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในระยะยาวด้วย"
3. การขยายเครือข่ายคลินิกชุมชนอบอุ่น
พัฒนาเครือข่ายคลินิกเวชกรรมและกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่นให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะในชุมชนเมืองรอบนอกและเขตชานเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแต่การเข้าถึงบริการสุขภาพยังไม่เพียงพอ
4. การสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา
สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันผลิตแพทย์กับหน่วยบริการในพื้นที่ห่างไกล โดยให้แพทย์ฝึกหัดและแพทย์เพิ่มพูนทักษะมีโอกาสทำงานใน รพ.สต. คลินิกชุมชนอบอุ่น และโรงพยาบาลชุมชนมากขึ้น
การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างทัศนคติเชิงบวกและความคุ้นเคยกับการทำงานในชุมชน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่
5. การนำเวชศาสตร์จีโนมิกส์วิถีชีวิตมาประยุกต์ใช้ในระดับปฐมภูมิ
ขยายผลโครงการนำร่องของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี กับคลินิกชุมชนอบอุ่นในจังหวัดเชียงราย ไปยังพื้นที่อื่นๆ
เป้าหมายคือการส่งเสริมการนำความรู้ด้านพันธุกรรมมาใช้ในการวางแผนดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล และเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรค NCDs
________________________________________________
รพ.สต. (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) และ คลินิกชุมชนอบอุ่น มีบทบาทที่คล้ายกันในด้านการให้บริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ แต่มีลักษณะและขอบเขตการดำเนินงานที่แตกต่างกันดังนี้:
1. รูปแบบการบริหารจัดการ
• รพ.สต.:
บริหารโดยภาครัฐ ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข โดยมีภารกิจหลักคือ การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาโรคเบื้องต้น และการฟื้นฟูสมรรถภาพในระดับตำบล
• คลินิกชุมชนอบอุ่น:
บริหารโดยหน่วยงานที่มีสัญญากับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เช่น โรงพยาบาลของรัฐ มหาวิทาลัย โรงพยาบาลเอกชน คลินิกเอกชน หรือหน่วยงานในเครือข่าย โดยดำเนินการตามแนวคิดคลินิกเวชกรรมชุมชนเพื่อดูแลประชากรในเขตเมืองหรือเขตที่มีประชากรหนาแน่น
2. กลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ให้บริการ
• รพ.สต.:
เน้นให้บริการในพื้นที่ชนบทหรือตำบลขนาดเล็ก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนทั่วไปในตำบลนั้นๆ
• คลินิกชุมชนอบอุ่น:
เน้นพื้นที่เขตเมืองหรือชุมชนที่มีประชากรหนาแน่น มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่
3. ขอบเขตของบริการ
• รพ.สต.:
ให้บริการครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ตรวจรักษาโรคทั่วไปที่ไม่ซับซ้อน ฝากครรภ์ วัคซีนเด็ก งานอนามัยแม่และเด็ก และเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเรื้อรัง
• คลินิกชุมชนอบอุ่น:
ให้บริการที่คล้ายกับ รพ.สต. แต่เพิ่มเติมคืออาจมีการให้บริการโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวหรือแพทย์ทั่วไปประจำที่คลินิก มีบริการตรวจสุขภาพโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มีการเจาะเลือด ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ และอาจมีระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงพยาบาลแม่ข่ายอย่างชัดเจน
4. บุคลากรและทีมสุขภาพ
• รพ.สต.:
มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข หรืออาจมีแพทย์หมุนเวียนมาจากโรงพยาบาลระดับอำเภอ ไม่มีแพทย์ประจำอยู่ตลอดเวลา
• คลินิกชุมชนอบอุ่น:
มีแพทย์ประจำอย่างต่อเนื่อง และบุคลากรหลากหลาย ทั้งพยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข เภสัชกร รวมถึงเจ้าหน้าที่สนับสนุนอื่นๆ อย่างครบวงจร
________________________________________________
บทเรียนและทางออกสำหรับอนาคต
การบูรณาการระบบสนับสนุนผ่านกลไกของ สปสช. อบจ. เครือข่าย รพ.สต. และคลินิกชุมชนอบอุ่นทั้งในด้านเวชกรรมและกายภาพบำบัด จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์อย่างโควิด-19 ต่อระบบการกระจายแพทย์สู่ชนบทห่างไกลของไทย
คลินิกชุมชนอบอุ่นทั้งสองรูปแบบสอดคล้องกับแนวโน้มของระบบสาธารณสุขโลกที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการดูแลต่อเนื่องในชุมชน มากกว่าการรักษาในโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว
การมุ่งเน้นการป้องกันโรค NCDs ในชุมชนไม่เพียงลดภาระของระบบสาธารณสุข แต่ยังสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านการมีประชากรที่มีสุขภาพดี
การริเริ่มนำเวชศาสตร์จีโนมิกส์วิถีชีวิตมาประยุกต์ใช้ร่วมกับคลินิกชุมชนอบอุ่น โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการป้องกันโรค NCDs ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
บทเรียนจากสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบที่พึ่งพาแรงจูงใจทางการเงินและการสมัครใจเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ระบบของไทยที่ผสมผสานทั้งกลไกบังคับ (การใช้ทุน) แรงจูงใจต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานระดับปฐมภูมิที่หลากหลายรูปแบบ สามารถรับมือกับวิกฤตได้ดีกว่า
การเพิ่มทางเลือกในการทำงานผ่านระบบคลินิกชุมชนอบอุ่นและการพัฒนา รพ.สต. ให้ทันสมัย ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างการป้องกันโรค NCDs ในชุมชน จะช่วยสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของแพทย์จบใหม่ที่ต้องการความก้าวหน้าในวิชาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดี กับความจำเป็นในการกระจายบริการสุขภาพให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
________________________________________________
Effects of the COVID-19 Pandemic on New Physician Job Market Outcomes
ชื่อผู้เผยแพร่
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - 31-03-2025
แสดงความคิดเห็น