2
260
0
0
0
เจาะลึก NIPT 360 องศา: การตรวจครรภ์ยุคใหม่ จากนวัตกรรมสู่การเข้าถึงถ้วนหน้า
04-02-2025
04-02-2025
- ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
 
>>-NIPT: ปฏิวัติการตรวจครรภ์ จากเลือดแม่สู่ความปลอดภัยของลูกน้อย"
>>-ความจริงที่ต้องรู้: NIPT ลดความเสี่ยงการแท้ง แต่ไม่เปลี่ยนผลลัพธ์การตั้งครรภ์
>>-บทบาทสำคัญของนักให้คำปรึกษาด้านพันธุศาสตร์ (Genetic Counselor)
>>-ปฏิวัติราคา NIPTลดลง 6.5 เท่า: จาก 17,400 บาทภาคเอกชน สู่ 2,700 บาทถ้วนหน้าในระบบรัฐ"
>>-ทลายกำแพง NIPT: จากศูนย์ใหญ่สู่การบริการที่ทั่วถึงทุกภูมิภาค
>>-ทางเลือกใหม่ในการตรวจ NIPT: เกินกว่า NGS
>>-มาตรฐาน FDA และ CE-IVD กับ NIPT: ที่ยังไม่สามารถรรับรองทั้งกระบวนการ"
______________________________________________________
"NIPT: ปฏิวัติการตรวจครรภ์ จากเลือดแม่สู่ความปลอดภัยของลูกน้อย"
การตรวจ Non-invasive prenatal testing หรือ NIPT (เรียกสั้นๆ ในภาษาพูดว่า "การตรวจนิปส์") เป็นที่รู้จักในภาษาไทยว่า "การตรวจดีเอ็นเอทารกในเลือดแม่" หรือ "การตรวจคัดกรองก่อนคลอดแบบไม่รุกราน" นับเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในวงการสูติศาสตร์ที่ช่วยประเมินความเสี่ยงของความผิดปกติทางโครโมโซมของทารกในครรภ์ได้อย่างแม่นยำ โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำคร่ำหรือเก็บชิ้นเนื้อรกมาตรวจเหมือนในอดีต ทำให้มีความปลอดภัยสูงและเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าวิธีการแบบเดิม อย่างไรก็ตาม การเจาะน้ำคร่ำหรือเก็บชิ้นเนื้อรกมาตรวจยังคงเป็นมาตรฐานสูงสุด (gold standard) ในการวินิจฉัย ซึ่งแพทย์จะพิจารณาดำเนินการเมื่อผลการตรวจ NIPT พบว่ามีความเสี่ยงสูง
กระบวนการทำงานของ NIPT มีขั้นตอนที่น่าสนใจ โดยเริ่มจากการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดจากแม่ที่ตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป เนื่องจากในช่วงเวลานี้จะพบชิ้นส่วน DNA ของทารกที่หลุดออกมาจากรกลอยปะปนอยู่ในกระแสเลือดของแม่ในปริมาณที่เพียงพอต่อการตรวจวิเคราะห์ ชิ้นส่วน DNA นี้มีชื่อเรียกทางเทคนิคว่า cell-free fetal DNA หรือ cffDNA ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จะนำตัวอย่างเลือดไปผ่านกระบวนการสกัดและวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การหาลำดับเบสแบบใหม่ (Next Generation Sequencing) หรือเทคนิค digital PCR และอื่นๆ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของจำนวนโครโมโซมที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์
NIPT สามารถตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมหลายชนิด โดยเฉพาะกลุ่มอาการที่พบบ่อยในทารก เช่น กลุ่มอาการดาวน์ที่เกิดจากการมีโครโมโซม 21 เกินมาหนึ่งแท่ง กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ดที่เกิดจากโครโมโซม 18 เกิน และกลุ่มอาการพาเทาที่เกิดจากโครโมโซม 13 เกิน นอกจากนี้ยังสามารถตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมเพศได้อีกด้วย ในบางกรณี การตรวจ NIPT รุ่นใหม่ยังสามารถตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมชนิดอื่นๆ รวมถึงการขาดหายไปของบางส่วนของโครโมโซมได้
จุดเด่นสำคัญของการตรวจ NIPT คือความแม่นยำที่สูงมาก โดยมีความแม่นยำกว่า 99% สำหรับการตรวจกลุ่มอาการดาวน์ และมีอัตราการรายงานผลบวกลวงต่ำกว่า 1% ซึ่งถือว่าดีกว่าการตรวจคัดกรองแบบเดิมมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ NIPT เป็นการตรวจคัดกรอง ไม่ใช่การตรวจวินิจฉัย หมายความว่าถ้าผลตรวจผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การเจาะน้ำคร่ำ เพื่อยืนยันผลอีกครั้ง
ในทางปฏิบัติ แพทย์มักแนะนำให้ทำการตรวจ NIPT ก่อนเพื่อคัดกรองความผิดปกติทางโครโมโซม และใช้การตรวจอัลตราซาวด์เป็นเครื่องมือในการติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการตรวจอัลตราซาวด์สามารถประเมินโครงสร้างร่างกาย อวัยวะภายใน และการเจริญเติบโตของทารกได้โดยตรง แม้ว่าการตรวจด้วยอัลตราซาวด์จะมีข้อจำกัดในการตรวจจับความผิดปกติทางโครโมโซม โดยมีอัตราการตรวจพบกลุ่มอาการดาวน์เพียงร้อยละ 75-80 และมีโอกาสรายงานผลผิดพลาดแบบบวกลวงร้อยละ 5-10 สำหรับ Trisomy 13 และ 18 มีอัตราการตรวจพบสูงกว่าที่ร้อยละ 90-95 แต่ก็ยังมีอัตราการรายงานผลบวกลวงร้อยละ 5-10 เช่นกัน
______________________________________________________
ความจริงที่ต้องรู้: NIPT ลดความเสี่ยงการแท้ง แต่ไม่เปลี่ยนผลลัพธ์การตั้งครรภ์
การนำ NIPT มาใช้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวโน้มอัตราการยุติการตั้งครรภ์ให้เพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดอัตราการเกิดมีชีพของทารกที่มีดาวน์ซินโดรม และไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการลดอัตราการเกิดโรค แต่ช่วยลดความจำเป็นในการทำหัตถการตรวจวินิจฉัยแบบรุกล้ำ เช่น การเจาะน้ำคร่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร
______________________________________________________
"ปฏิวัติราคา NIPT: จาก 17,400 บาทในเอกชน สู่ 2,700 บาทถ้วนหน้าในระบบรัฐ"
ในประเทศไทย การเข้าถึงการตรวจ NIPT กำลังได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเมื่อปลายปี 2567 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้อนุมัติให้ NIPT เป็นทางเลือกในการคัดกรองหลักสำหรับแม่กลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเพื่อตรวจกลุ่มอาการดาวน์ นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย ที่ทำให้แม่ตั้งครรภ์เข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัยได้ง่ายขึ้น
ปี 2568 สปสช. ได้เพิ่มอัตราการเบิกจ่ายค่าตรวจ NIPT เป็น 2,700 บาทต่อการตั้งครรภ์ จากเดิมที่เคยอนุมัติไว้ที่ 1,700 บาท เมื่อเดือนกันยายน 2567 การปรับเพิ่มนี้ครอบคลุมทั้งค่าเก็บตัวอย่างเลือดและค่าตรวจวิเคราะห์ โดยมีงบประมาณรวมประมาณ 644.20 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้แม่ตั้งครรภ์จำนวนมากเข้าถึงบริการนี้ได้ โดยคาดว่าจะมีหญิงไทยประมาณ 238,592 รายได้รับประโยชน์
เมื่อเปรียบเทียบราคา NIPT ในระดับนานาชาติ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ราคาค่าตรวจอยู่ที่ประมาณ 24,000-32,500 บาท ซึ่งถือว่าสูงมาก ในขณะที่ประเทศจีนมีราคาถูกกว่ามาก โดยภาคเอกชนคิดราคา 7,000-11,500 บาท และในบางพื้นที่ที่รัฐบาลท้องถิ่นให้การสนับสนุน ราคาอาจต่ำถึง 3,900 บาท สำหรับประเทศไทย นอกจากการเบิกจ่ายผ่าน สปสช. ที่ 2,700 บาทแล้ว ในภาคเอกชนมีราคาตั้งแต่ 8,900 ถึง 17,400 บาท ขึ้นอยู่กับขอบเขตของการตรวจ
ความแตกต่างของราคานี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงต้นทุนเทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขันในตลาด และความแตกต่างของระบบสาธารณสุขในแต่ละประเทศ แม้ว่าแพลตฟอร์ม NIPT จากจีนจะมีราคาถูกกว่า แต่สิ่งสำคัญคือต้องรักษามาตรฐานคุณภาพและความแม่นยำในระดับสากล
______________________________________________________
"ทลายกำแพง NIPT: จากศูนย์ใหญ่สู่การบริการที่ทั่วถึงทุกภูมิภาค"
เพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจและป้องกันการรวมศูนย์บริการ NIPT ไว้ที่ศูนย์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง สปสช. ควรพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้
ประการแรก ต้องกำหนดเกณฑ์และมาตรฐานการให้บริการที่โปร่งใส เป็นกลาง และเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยไม่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ เกณฑ์เหล่านี้ควรครอบคลุมทั้งมาตรฐานทางเทคนิค ความแม่นยำในการตรวจ ระยะเวลาการรายงานผล และการให้บริการสนับสนุน
ประการที่สอง ควรส่งเสริมให้โรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการในภูมิภาคต่างๆ สามารถให้บริการ NIPT ได้ โดยสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อลดการพึ่งพาศูนย์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง
ประการที่สาม ควรมีระบบการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ NIPT ที่เป็นอิสระและเป็นกลาง เพื่อให้ผู้ให้บริการรายใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ หากมีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรฐานที่กำหนด
ประการที่สี่ ควรมีกลไกการกำกับดูแลราคาที่เป็นธรรม โดยกำหนดกรอบราคาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในสองรูปแบบ
1. การตั้งราคาสูงเกินควร (Price Gouging) – ผู้ให้บริการบางรายอาจใช้ข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีหรือความสามารถในการผูกขาดเพื่อกำหนดราคาสูงเกินต้นทุนจริง ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้น้อยลง
2️ การกำหนดราคาต่ำผิดปกติ (Predatory Pricing) – การตั้งราคาต่ำกว่าต้นทุนเพื่อกำจัดคู่แข่ง แม้อาจดูเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในระยะสั้น แต่หากส่งผลให้ตลาดถูกผูกขาดในระยะยาว จะลดทางเลือกของผู้บริโภค และทำให้เกิดการควบคุมตลาดโดยผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาที่สูงขึ้นในภายหลัง
แม้ว่าการลดต้นทุนต่อหน่วยจาก การตรวจตัวอย่างจำนวนมาก (Economy of Scale) จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ราคาบริการลดลงได้จริง แต่หากขาดกลไกกำกับดูแลที่รอบคอบ อาจนำไปสู่การกระจุกตัวของตลาด และเป็นอุปสรรคต่อการขยายบริการสู่ภูมิภาคที่ห่างไกล
ประการที่ห้า ควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา โรงพยาบาล และห้องปฏิบัติการในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีการตรวจ NIPT ในประเทศ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศในระยะยาว
ประการที่หก ควรมีระบบการติดตามและประเมินผลคุณภาพการให้บริการที่เข้มแข็ง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และมีการเปิดเผยข้อมูลผลการประเมินต่อสาธารณะ
ประการที่เจ็ด ควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี NIPT ในประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงการพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นให้มีความเชี่ยวชาญ
การดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการกระจายบริการ NIPT ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ อย่างทั่วถึง ลดการผูกขาด และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม อันจะส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม และเกิดการพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ยั่งยืนในระยะยาว
อ่านเพิ่มเติมจาก
______________________________________________________
บทบาทสำคัญของนักให้คำปรึกษาด้านพันธุศาสตร์ (Genetic Counselor)
ทั้งก่อนและหลังการตรวจ NIPT
นักให้คำปรึกษาด้านพันธุศาสตร์มีบทบาทสำคัญในกระบวนการตรวจ NIPT และการดูแลผู้ป่วย โดยมีหน้าที่ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับการตรวจ NIPT รวมถึงข้อดี ข้อจำกัด และความเป็นไปได้ของผลลบลวง พร้อมทั้งช่วยผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับการตรวจโดยคำนึงถึงความเสี่ยง ค่านิยม และสถานการณ์ส่วนตัว นอกจากนี้ยังทำหน้าที่อธิบายผลการตรวจ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไป ให้การสนับสนุนทางอารมณ์แก่ผู้ป่วยและครอบครัว และช่วยวางแผนการดูแลระยะยาวสำหรับทารกที่อาจมีความผิดปกติทางพันธุกรรม
______________________________________________________
"ทางเลือกใหม่ในการตรวจ NIPT: เกินกว่า NGS"
การตรวจ NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) ไม่จำเป็นต้องอาศัยเทคนิค NGS (Next-Generation Sequencing) เสมอไป แม้ว่า NGS จะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำ NIPT เนื่องจากมีความแม่นยำสูง แต่ก็มีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถใช้ในการตรวจ NIPT ได้เช่นกัน เทคโนโลยีเหล่านี้รวมถึงเทคนิคแบบเฉพาะเจาะจง เช่น Single Nucleotide Polymorphism (SNP) Analysis และ Microarray Analysis, Digital PCR (dPCR), Vanadis NIPT และ MeDIP qPCR
การเลือกใช้เทคโนโลยีใดในการตรวจ NIPT ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความแม่นยำ ค่าใช้จ่าย และความพร้อมของห้องปฏิบัติการ บางเทคนิค เช่น dPCR และ Vanadis NIPT ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้มีความไวสูง ใช้เวลาน้อยกว่า และมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า NGS ดังนั้น แม้ว่า NGS จะเป็นวิธีที่นิยมใช้ แต่การตรวจ NIPT ก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิค NGS เสมอไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความต้องการในแต่ละกรณี
______________________________________________________
"มาตรฐาน FDA และ CE-IVD กับ NIPT: ทำไมยังไม่มีการรับรองทั้งกระบวนการ?"
การตรวจ NIPT เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนและซับซ้อน ประกอบด้วย:
1. การเก็บตัวอย่าง
2. การสกัดดีเอ็นเอ
3. การเตรียมไลบรารี
4. การหาลำดับเบส
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
6. การแปลผล
7. การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม
ด้วยความซับซ้อนนี้ จึงเป็นไปได้ยากที่การตรวจ NIPT ใดจะได้รับการรับรองจาก FDA หรือเครื่องหมาย CE-IVD สำหรับกระบวนการทั้งหมด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น บริษัทมักจะขอการรับรองหรือใบรับรองสำหรับองค์ประกอบหรือขั้นตอนเฉพาะในกระบวนการ NIPT
สถานะการรับรองจาก FDA
ปัจจุบัน ไม่มีการตรวจ NIPT ใดที่ได้รับการรับรองจาก FDA เต็มรูปแบบสำหรับกระบวนการทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา การตรวจ NIPT ส่วนใหญ่ให้บริการในรูปแบบการทดสอบที่พัฒนาโดยห้องปฏิบัติการ (LDTs) โดยไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างครอบคลุมจาก FDA อย่างไรก็ตาม:
- บางบริษัทได้รับการรับรองหรืออนุมัติจาก FDA สำหรับองค์ประกอบเฉพาะของกระบวนการ NIPT เช่น ชุดเตรียมไลบรารีหรือเครื่องหาลำดับเบส
- ในปี 2565 Natera ได้ประกาศการยื่นเรื่องเบื้องต้นต่อ FDA สำหรับการตรวจ Panorama NIPT ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบที่ครอบคลุมมากขึ้น
สถานะ CE-IVD
ในสหภาพยุโรป การตรวจ NIPT หลายรายการได้รับเครื่องหมาย CE-IVD แต่มักจะใช้กับส่วนเฉพาะของกระบวนการมากกว่ากระบวนการทั้งหมด:
-การทดสอบ IONA® ของ Yourgene Health เป็นการตรวจวินิจฉัยในหลอดทดลอง (IVD) ที่ได้รับเครื่องหมาย CE เป็นรายแรกสำหรับการตรวจคัดกรองก่อนคลอด (NIPT)
- ระบบ iSAFE™ NIPT ของ Atila BioSystems ได้รับการรับรองมาตรฐาน CE-IVD สำหรับการตรวจหาภาวะโครโมโซมเกิน (trisomy) ของโครโมโซมคู่ที่ 21, 18, 13 และความผิดปกติของโครโมโซมเพศ (SCA) ในการตั้งครรภ์แฝดเดี่ยว
- บางบริษัทมีใบรับรอง CE-IVD สำหรับชุดเตรียมไลบรารีหรือซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ใน NIPT
แนวทางการกำกับดูแล
บริษัทมักจะมุ่งเน้นการขอการรับรองหรือใบรับรองสำหรับองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการ NIPT เช่น:
- ชุดเตรียมไลบรารี
- เครื่องหาลำดับเบส
- ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล
แนวทางนี้ช่วยให้มีการกำกับดูแลบางส่วน ในขณะที่ยอมรับความซับซ้อนของกระบวนการ NIPT ทั้งหมด
พัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่วงการนี้มีการพัฒนา หน่วยงานกำกับดูแลกำลังพัฒนากรอบการทำงานที่ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับการทดสอบทางพันธุกรรมที่ซับซ้อนเช่น NIPT สิ่งนี้อาจนำไปสู่แนวทางการกำกับดูแลที่ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต แต่ในขณะนี้ การรับรองหรือใบรับรองสำหรับองค์ประกอบแต่ละส่วนยังคงเป็นบรรทัดฐาน ไม่สามารถรับรองทั้งกระบวนการได้
______________________________________________________
ประสบการณ์ของผู้ใช้บริการ NIPT
ผลการศึกษาพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มีประสบการณ์เชิงบวกกับ NIPT โดย 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าจะเลือกทำ NIPT อีกในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม มีรายงานถึงความกังวลเกี่ยวกับการให้ความยินยอมโดยได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอและความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจ
______________________________________________________
ข้อจำกัดของ NIPT
แม้ว่า NIPT จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น โอกาสที่การตรวจจะล้มเหลว (2.6%-5.4%) และความเป็นไปได้ของผลบวกลวงและผลลบลวง นอกจากนี้ NIPT ยังไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมทั้งหมดได้
______________________________________________________
อนาคตของ NIPT
การพัฒนาเทคโนโลยี NIPT อย่างต่อเนื่องทำให้สามารถตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมได้มากขึ้น รวมถึงโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากยีนเดี่ยว เช่น โรคเลือดจาง ซิสติกไฟโบรซิส และโรคกล้ามเนื้อลีบ นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ร่วมกับ NIPT เพื่อเพิ่มขอบเขตของการตรวจโรค
______________________________________________________
ตลาด NIPT ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าถึง 13.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2575 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 13.80% ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด เนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและการเพิ่มขึ้นของโครงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ NIPT
ชื่อผู้เผยแพร่
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - 04-02-2025
แท็คยอดนิยม
แสดงความคิดเห็น