2
875
0
1
1
ความก้าวหน้าด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) บูรณาการกับเวชศาสตร์จีโนมิกส์ (Lifestyle Genomics) จะเพิ่มประสิทธิภาพการ ช่วยป้องกัน บรรเทา และสนับสนุนการรักษา โรค NCDs
28-01-2025
28-01-2025
- ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
 
NCDs ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก โดยคร่าชีวิตประชากร 41 ล้านคนต่อปี หรือ 74% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ครอบคลุมโรคสำคัญหลายชนิด เช่น เบาหวาน หลอดเลือดสมอง หัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็ง
ในประเทศไทยเอง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาและป้องกันโรค NCDs คิดเป็นสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับโรคอื่น ๆ เนื่องจากลักษณะของโรคที่มักต้องการการดูแลต่อเนื่องและยาวนาน
ในปี 2562 ประเทศไทยมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจจาก NCDs สูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็นค่ารักษาพยาบาลโดยตรง 139,000 ล้านบาท และความสูญเสียทางอ้อมจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 1.5 ล้านล้านบาท สำหรับสถานการณ์ NCDs ในไทยนั้น คิดเป็น 75-81% ของการเสียชีวิตทั้งหมด มีผู้ป่วยประมาณ 14 ล้านคน และเสียชีวิต 340,000-400,000 คนต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่าประชากรผู้ใหญ่ 21.4% เป็นความดันโลหิตสูง และ 6.9% มีน้ำตาลในเลือดสูง
 
-เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการเลิกพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เพื่อป้องกัน บรรเทา และ สนับสนุนการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด
-เวชศาสตร์จีโนมิกส์ (Lifestyle Genomics) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างยีนและการตอบสนองของร่างกายต่อปัจจัยทางวิถีชีวิต เช่น อาหารหรือการออกกำลังกาย ความรู้ด้านนี้ช่วยให้สามารถปรับแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (personalized health plans) ได้แม่นยำขึ้น
เมื่อทั้งสองศาสตร์มาทำงานร่วมกัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน บรรเทา และ สนับสนุนการรักษาโรค NCDs เพราะการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตสามารถปรับให้เหมาะสมกับพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว
_______________________________________________________________
สถาบันเวชศาสตร์วิถีชีวิต กรมอนามัย และศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ร่วมมือกันพัฒนาแนวทางป้องกัน บรรเทา และ สนับสนุนการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยผสานเทคโนโลยีทางพันธุกรรมระดับจีโนมสมัยใหม่เข้ากับหลักการแพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิต
แพทย์ LM หรือแพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) คือแพทย์ที่ใช้แนวทางการแพทย์แบบบูรณาการ โดยผสมผสานหลักการแพทย์ปัจจุบันกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อการป้องกัน บรรเทา และ สนับสนุนการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
 
บทบาทหลักของแพทย์ LM คือ:
1. ร่วมมือกับผู้ป่วยในการวางแผนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก 6 เสาหลักของเวชศาสตร์วิถีชีวิต ได้แก่ โภชนาการ การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การนอนหลับ การลดสารเสพติด และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเชิงบวก
2. ใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การสร้างแรงจูงใจ การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างยั่งยืน
3. ประเมินปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพและวางแผนการรักษาแบบองค์รวม โดยมุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)
4. การแทรกแซงทางการแพทย์แบบไม่ใช้ยา (Non-Pharmacological Interventions) ของแพทย์สาย Lifestyle Medicine (LM)
 
1. การปรับเปลี่ยนอาหาร
เน้นอาหารธรรมชาติ ลดอาหารแปรรูป: ตรงกับหลักการ LM ซึ่งเน้นการรับประทานอาหาร Whole Foods Plant-Based Diet และลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาล และเกลือ
ปรับสัดส่วนสารอาหาร: การปรับสารอาหารให้เหมาะสม เช่น การเพิ่มใยอาหารในผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือการลดโปรตีนในผู้ป่วยโรคไต เป็นแนวทางที่สนับสนุนโดยงานวิจัย
อาหารเป็นยา (Food as Medicine): มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าอาหารบางชนิด เช่น ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน
 
2. การใช้วิตามินและอาหารเสริม
วิเคราะห์ภาวะขาดสารอาหารเป็นรายบุคคล: การวิเคราะห์โดยดูจากผลเลือดหรือประวัติสุขภาพเป็นแนวทางมาตรฐาน
การให้อาหารเสริมในปริมาณที่เหมาะสม: การให้เสริม เช่น วิตามินดีในผู้ที่ขาดหรือโอเมก้า-3 ในผู้ป่วยโรคหัวใจ เป็นตัวอย่างที่มีหลักฐานรองรับ
สารอาหารเฉพาะที่มีงานวิจัยรองรับ: ตัวอย่างเช่น การใช้โคเอนไซม์ Q10 ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว หรือโปรไบโอติกในโรคลำไส้อักเสบ
 
3. การปรับสมดุลร่างกายด้วยธรรมชาติบำบัด
การนอนหลับคุณภาพดี: หลักฐานชัดเจนว่านอนหลับเพียงพอช่วยลดการอักเสบและเสริมการฟื้นฟูของร่างกาย
การจัดการความเครียด: เทคนิคเช่น Mindfulness-Based Stress Reduction (MBSR) มีงานวิจัยรองรับในด้านการลดความวิตกกังวลและปรับสมดุลฮอร์โมน
การออกกำลังกายที่เหมาะสม: การออกกำลังกายแบบปรับตัวตามสภาพร่างกาย เช่น การเดินในผู้ป่วยโรคข้อ หรือโยคะในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์
เนื้อหาทั้งหมดสอดคล้องกับแนวทางของ Lifestyle Medicine ที่เน้นการใช้วิถีชีวิตเป็นเครื่องมือหลักในการรักษาโรคและส่งเสริมสุขภาพโดยลดการพึ่งพายาเป็นตัวหลักในการบำบัด.
แพทย์ LM จำเป็นต้องผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทาง เช่น หลักสูตรแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์วิถีชีวิต หรือหลักสูตรอบรมระยะสั้นอื่นๆ ที่ได้รับการรับรองจากแพทยสภา
 
การติดตามผล:
- ประเมินการเปลี่ยนแปลงของอาการและตัวชี้วัดทางสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
- ปรับแผนการรักษาตามการตอบสนองของผู้ป่วย
- สร้างความร่วมมือระยะยาวเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน
_______________________________________________________________
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เสนอกับ สถาบันเวชศาสตร์วิถีชีวิต กรมอนามัย ในการนำเทคโนโลยีด้านจีโนมิกส์ (Genomics) มาร่วมประยุกต์ใช้การป้องกัน บรรเทา และ สนับสนุนการรักษาโรค NCDs ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก โดยคร่าชีวิตประชากร 41 ล้านคนต่อปี หรือ 74% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ครอบคลุมโรคสำคัญหลายชนิด เช่น เบาหวาน หลอดเลือดสมอง หัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็ง อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสมสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้
การตรวจทางพันธุกรรมและประโยชน์ที่ได้รับแบ่งเป็น 2 รูปแบบ:
1. การตรวจเพียงครั้งเดียวตลอดชีวิต:
- การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสารอาหารกับพันธุกรรม (Nutrigenomics): วิเคราะห์การตอบสนองต่อสารอาหารและกระบวนการเผาผลาญ ช่วยให้ทราบแนวโน้มการย่อยและดูดซึมสารอาหาร นำไปสู่การวางแผนโภชนาการเฉพาะบุคคลที่เหมาะสมกับพันธุกรรม
- การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการออกกำลังกายกับพันธุกรรม (Exercise genomics): ประเมินศักยภาพทางกายภาพ ระบุประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสม ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และแนวทางการฝึกซ้อมที่สอดคล้องกับพันธุกรรม
2. การตรวจติดตามทุก 3-6 เดือน:
- การศึกษาการแสดงออกของยีน (Epigenomics): ติดตามการแสดงออกของยีนและวัดอายุชีวภาพของเซลล์ ประเมินผลกระทบของพฤติกรรมต่อการทำงานของยีน และชี้วัดความเร็วของความเสื่อมในร่างกาย
- การศึกษาจุลินทรีย์ในร่างกาย (Microbiome): วิเคราะห์ความหลากหลายและสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ประเมินความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร และให้คำแนะนำการรับประทานอาหารที่ส่งเสริมจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์
การนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (Lifestyle) จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรค NCDs และชะลอความเสื่อมของวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนแล้ว ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาโรค NCDs ของระบบประกันสุขภาพแห่งชาติในระยะยาว
________________________________________
แนวทางความร่วมมือ
1. การพัฒนางานวิจัยและฐานข้อมูลจีโนมเฉพาะบุคคล
-กรมอนามัย: สนับสนุนการเก็บข้อมูลสุขภาพและพฤติกรรมของประชาชนในวงกว้าง เช่น การบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย และความเสี่ยงต่อ NCDs
-ศูนย์จีโนมทางการแพทย์: ใช้ข้อมูลที่เก็บได้เพื่อวิเคราะห์จีโนมของประชาชน รวมถึงการตรวจ microbiome และ epigenetic markers เพื่อระบุความเสี่ยงด้านสุขภาพ
2. การพัฒนาชุดข้อมูลมาตรฐาน (Standardized Health Data)
-ใช้ข้อมูลทางจีโนมควบคู่กับข้อมูลด้านพฤติกรรม เพื่อสร้างฐานข้อมูลสุขภาพที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนานโยบายสุขภาพแห่งชาติ เช่น การออกแบบโภชนาการหรือโปรแกรมออกกำลังกายเฉพาะบุคคล
3. การออกแบบและทดสอบโปรแกรม Lifestyle Medicine ที่เหมาะสมกับประชากรไทย
-ร่วมกันสร้างและทดสอบโปรแกรมสุขภาพที่ปรับเปลี่ยนตามข้อมูลทางจีโนมและพฤติกรรม เช่น:
 แผนโภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition)
 การออกกำลังกายที่สอดคล้องกับยีน (Genetic-based Exercise Plans)
 การตรวจสุขภาพผ่าน epigenetic clock เพื่อประเมินอายุชีวภาพ
4. การอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์
-ร่วมกันจัดอบรมแพทย์ พยาบาล และนักโภชนาการ ให้มีความรู้เกี่ยวกับ nutrigenomics, microbiome และ epigenetics เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วย
5. การสร้างนโยบายสาธารณสุขที่ใช้ข้อมูลจีโนมเป็นพื้นฐาน
-กรมอนามัยและศูนย์จีโนมดำริร่วมกันพัฒนานโยบาย เช่น:
 ส่งเสริมการใช้ microbiome เพื่อป้องกันโรคอ้วนและเบาหวาน
 นำ epigenetics มาประเมินผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในโครงการระดับชุมชน
6. การติดตามผลและประเมินผลลัพธ์ของโครงการ
-ใช้ข้อมูลจีโนมและ epigenetic markers ในการติดตามความสำเร็จของโครงการ เช่น การลดความเสี่ยงของโรค NCDs ในกลุ่มเป้าหมาย
________________________________________
ตัวอย่างการดำเนินงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Nutrigenomics (โภชนพันธุศาสตร์) และ Exercise Genomics (พันธุศาสตร์การออกกำลังกาย) พร้อมประโยชน์ของการตรวจ Epigenetic Clock (นาฬิกาชีวภาพทางอีพิเจเนติกส์)
________________________________________
โครงการนำร่อง
• ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ร่วมกับ Nutrigenomics และ Exercise Genomics:
-ตรวจ Epigenetic Clock (นาฬิกาชีวภาพทางอีพิเจเนติกส์):
กลุ่มตัวอย่างในโครงการลดอายุชีวภาพจะได้รับการตรวจวัด "อายุชีวภาพ" (Biological Age) เพื่อประเมินสุขภาพและความเสื่อมของเซลล์ โดยข้อมูลที่ได้จะมีประโยชน์ดังนี้:
 ประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง (Chronic Diseases) เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็ง
 วางแผนการปรับพฤติกรรมเฉพาะบุคคล เช่น การเลือกอาหาร (Dietary Interventions) และการออกกำลังกาย (Physical Activity) ที่เหมาะสม
 ติดตามผลลัพธ์ของการรักษาหรือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (Lifestyle Modifications) ในระยะยาว
o การวิเคราะห์ Nutrigenomics และ Exercise Genomics:
 Nutrigenomics (โภชนพันธุศาสตร์): วิเคราะห์การตอบสนองของยีนต่อสารอาหาร เช่น การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate Metabolism) หรือไขมัน (Fat Metabolism) เพื่อแนะนำอาหารที่ลดความเสี่ยงโรคได้ตรงจุด
 Exercise Genomics (พันธุศาสตร์การออกกำลังกาย): ศึกษายีนที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) และความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ (Injury Risk) เพื่อออกแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) หรือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Resistance Training)
• การเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Behavioral Data):
กรมอนามัยสนับสนุนการเก็บข้อมูลการบริโภคอาหาร (Dietary Habits) การออกกำลังกาย (Exercise Patterns) และการนอนหลับ (Sleep Quality) ของกลุ่มตัวอย่าง เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจีโนมและพฤติกรรมในการออกแบบแผนสุขภาพ
• ผลลัพธ์:
ข้อมูลจากการวิเคราะห์จะนำไปพัฒนา นโยบายเชิงสุขภาพที่ใช้ได้จริงในระดับประเทศ โดยเน้นการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Health Management)
________________________________________
การใช้ข้อมูล Microbiome และจีโนมร่วมกัน
• การตรวจ Microbiome ควบคู่กับ Nutrigenomics:
-วิเคราะห์ความหลากหลายของ Microbiome (จุลินทรีย์ในลำไส้) เพื่อประเมินสุขภาพลำไส้ (Gut Health)
-ใช้ข้อมูล Nutrigenomics เพื่อแนะนำอาหาร เช่น เพิ่มพรีไบโอติก (Prebiotics) หรือโปรไบโอติก (Probiotics) ที่เหมาะสมกับยีนและสมดุลของ Microbiome
-ตัวอย่างการประยุกต์ใช้: ลดการอักเสบ (Inflammation) ในผู้ป่วยลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) หรือปรับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetes Management)
• การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายส่วนบุคคล (Personalized Exercise Programs):
-ข้อมูลจาก Exercise Genomics ช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น การหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่เกินสมรรถภาพของกล้ามเนื้อ (Muscle Overload)
-เพิ่มประสิทธิภาพในกีฬาเฉพาะทาง เช่น การปรับการฝึกซ้อมให้เหมาะกับศักยภาพด้านความทนทาน (Endurance) หรือความแข็งแรง (Strength) ตามโปรไฟล์จีโนม
________________________________________
ประโยชน์ของการตรวจ Epigenetic Clock (นาฬิกาชีวภาพทางอีพิเจเนติกส์)
1. วางแผนการชะลอความชรา (Anti-Aging Strategies):
ช่วยระบุพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุง เช่น การลดอาหารแปรรูป (Processed Foods) หรือการเพิ่มกิจกรรมทางกาย (Physical Activity)
2. ปรับแผนการรักษา (Treatment Planning):
ใช้ข้อมูลเพื่อออกแบบแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม เช่น การเพิ่มสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ (Anti-Inflammatory Nutrients) หรือการเลือกประเภทการออกกำลังกาย
3. ติดตามผลลัพธ์ (Outcome Monitoring):
ใช้ตรวจติดตามผลลัพธ์ของการรักษาหรือปรับพฤติกรรม เช่น การลดอายุชีวภาพ (Biological Age Reduction) หลังปรับอาหารและการออกกำลังกาย
4. ส่งเสริมการป้องกันโรค (Disease Prevention):
ช่วยระบุความเสี่ยงโรคเรื้อรังได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases) หรือภาวะสมองเสื่อม (Cognitive Decline)
________________________________________
เป้าหมายในอนาคต
1. ขยายโครงการตรวจ Epigenetic Clock ในประชากรกลุ่มเสี่ยง:
เช่น ผู้สูงอายุ (Elderly) หรือผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (Chronic Diseases)
2. พัฒนาแนวทาง Personalized Medicine (การแพทย์เฉพาะบุคคล):
ใช้ข้อมูลจาก Nutrigenomics, Exercise Genomics และ Microbiome เพื่อปรับแผนสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
3. ผลักดันงานวิจัยสู่การปฏิบัติ (Research to Practice):
เช่น การสร้างแอปพลิเคชันที่แนะนำอาหาร การออกกำลังกาย และการปรับพฤติกรรมตามข้อมูลจีโนม
________________________________________
รูปแบบโครงการความร่วมมือที่เคยประสบความสำเร็จในประเทศอื่น
ตัวอย่างรูปแบบโครงการความร่วมมือที่เคยประสบความสำเร็จในประเทศอื่นเพื่อป้องกัน บรรเทา และ สนับสนุนการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ทางพันธุกรรมและ Lifestyle Medicine มาประยุกต์ใช้ มีดังนี้:
1. โครงการ National Precision Medicine Program (สิงคโปร์)
- ลักษณะโครงการ:
โครงการระดับชาติที่ริเริ่มโดยกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ โดยมุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลจีโนมจากประชากรและใช้เทคโนโลยีทางพันธุกรรม เช่น nutrigenomics และ epigenomics เพื่อพัฒนาการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล
- ความสำเร็จ:
 พัฒนาแผนการป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจ โดยปรับเปลี่ยนโภชนาการเฉพาะบุคคล
 ลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพในระยะยาว
- ตัวอย่างผลลัพธ์:
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยข้อมูลจีโนมช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มเป้าหมายได้ถึง 25%
2. โครงการ All of Us Research Program (สหรัฐอเมริกา)
- ลักษณะโครงการ:
โครงการที่นำโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ซึ่งรวบรวมข้อมูลด้านพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ของผู้เข้าร่วมกว่า 1 ล้านคน เพื่อศึกษาวิธีการป้องกันโรค NCDs และสร้างสุขภาพที่ยั่งยืน
- ความสำเร็จ:
 ใช้ข้อมูลจีโนมเพื่อออกแบบโปรแกรมโภชนาการและการออกกำลังกายเฉพาะบุคคล
 พัฒนาการรักษาที่เหมาะสมกับประชากรกลุ่มต่าง ๆ โดยอ้างอิงข้อมูล microbiome และ epigenetics
- ตัวอย่างผลลัพธ์:
โครงการช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อการรักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้ถึง 40% และช่วยลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็นในโรคหัวใจ
3. โครงการ Genomics England (อังกฤษ)
- ลักษณะโครงการ:
โครงการระดับชาตินี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลจีโนมของประชากร เพื่อสนับสนุนการป้องกันโรค NCDs และพัฒนาวิธีการดูแลสุขภาพแบบแม่นยำ (Precision Health)
- ความสำเร็จ:
 ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมร่วมกับพฤติกรรมสุขภาพในการพัฒนานโยบายลดโรคหัวใจและมะเร็ง
 จัดทำโครงการให้ความรู้แก่แพทย์เกี่ยวกับ Lifestyle Medicine ที่ประยุกต์ใช้ข้อมูลจีโนม
- ตัวอย่างผลลัพธ์:
ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจในประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงลง 30% ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามข้อมูลจีโนม
4. โครงการ Gut Microbiome Project (ญี่ปุ่น)
- ลักษณะโครงการ:
โครงการที่นำโดยกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง microbiome และโรค NCDs เช่น โรคอ้วนและเบาหวาน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาการดูแลสุขภาพที่ปรับตาม microbiome ของแต่ละบุคคล
- ความสำเร็จ:
 พัฒนาอาหารเสริมโปรไบโอติกเฉพาะบุคคลที่ช่วยปรับสมดุล microbiome
 ลดอัตราการเกิดโรคอ้วนในกลุ่มเป้าหมายได้ถึง 15%
- ตัวอย่างผลลัพธ์:
การออกแบบแผนอาหารที่สอดคล้องกับ microbiome ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมน้ำหนักในกลุ่มตัวอย่าง
5. โครงการ Danish Lifestyle Medicine Program (เดนมาร์ก)
- ลักษณะโครงการ:
เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเดนมาร์กและสถาบันวิจัยทางการแพทย์ในการพัฒนาโปรแกรม Lifestyle Medicine โดยใช้ epigenetics และข้อมูลทางพันธุกรรมในการติดตามผล
- ความสำเร็จ:
 ออกแบบโปรแกรมลดความดันโลหิตที่มีประสิทธิภาพสูงในประชากรที่มีความเสี่ยง
 ใช้ epigenetic clock ในการวัดผลลัพธ์ด้านสุขภาพและชะลอความเสื่อมของร่างกาย
- ตัวอย่างผลลัพธ์:
ลดความดันโลหิตเฉลี่ยของประชากรเป้าหมายได้ 20% ภายใน 1 ปี
สรุป: โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จด้วยการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ (Lifestyle Genomics) มาผสมผสานกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในรูปแบบ Lifestyle Medicine ทำให้สามารถลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ NCDs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
แนวทางจากโครงการที่สามารถนำมาปรับใช้กับบริบทของประเทศไทยได้ดีที่สุด:
________________________________________
1. การปรับแผนสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Health Plans)
แนวทาง:
• ใช้โมเดลจาก National Precision Medicine Program (สิงคโปร์) ในการรวบรวมข้อมูลจีโนมและข้อมูลด้านสุขภาพ เช่น พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และการออกกำลังกาย เพื่อพัฒนาแผนการป้องกันและรักษาโรค NCDs แบบเฉพาะบุคคล
ความเหมาะสมในประเทศไทย:
• ประเทศไทยมีระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค และ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่สามารถช่วยรวบรวมข้อมูลและดำเนินการในระดับพื้นที่
การปรับใช้:
• พัฒนาโครงการนำร่องในจังหวัดที่มีอัตราการเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจสูง โดยใช้ข้อมูลจีโนมและโภชนาการของประชากร
________________________________________
2. การสร้างฐานข้อมูลจีโนมระดับประเทศ (Genomic Data Infrastructure)
แนวทาง:
• นำตัวอย่างจาก Genomics England (อังกฤษ) ซึ่งเน้นการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจีโนมของประชากรอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการป้องกันโรค
ความเหมาะสมในประเทศไทย:
• ไทยมีความหลากหลายทางพันธุกรรมในแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจช่วยระบุความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่ เช่น ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในภาคเหนือ หรือโรคอ้วนในภาคกลาง
การปรับใช้:
• เริ่มต้นด้วยการจัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลจีโนมแห่งชาติ และทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยทางการแพทย์ เช่น ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี
________________________________________
3. การปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Microbiome Management)
แนวทาง:
• ใช้รูปแบบจาก Gut Microbiome Project (ญี่ปุ่น) โดยเน้นศึกษาความสัมพันธ์ของ microbiome กับโรค เช่น โรคเบาหวานและโรคอ้วน
ความเหมาะสมในประเทศไทย:
• อาหารไทยมีความหลากหลายของพรีไบโอติกและโปรไบโอติก เช่น การใช้สมุนไพรในอาหารและการบริโภคอาหารหมักดอง
การปรับใช้:
• พัฒนาโครงการส่งเสริมอาหารที่สนับสนุนสมดุล microbiome โดยร่วมมือกับชุมชนและกลุ่มผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ
________________________________________
4. การติดตามสุขภาพด้วย epigenetic clock (Epigenetic Monitoring)
แนวทาง:
• ใช้โมเดลจาก Danish Lifestyle Medicine Program (เดนมาร์ก) ที่ใช้ epigenetic clock ในการวัดอายุชีวภาพและติดตามผลลัพธ์จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ความเหมาะสมในประเทศไทย:
• เหมาะสำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรค NCDs
การปรับใช้:
• พัฒนาโปรแกรมติดตามสุขภาพในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพในท้องถิ่น
________________________________________
5. การสร้างโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพระดับชุมชน (Community-Based Health Promotion)
แนวทาง:
• ใช้ตัวอย่างจาก All of Us Research Program (สหรัฐอเมริกา) ที่เน้นการรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพและพฤติกรรมของประชากรกลุ่มใหญ่ เพื่อออกแบบโครงการส่งเสริมสุขภาพเฉพาะกลุ่ม
ความเหมาะสมในประเทศไทย:
• ไทยมีระบบสุขภาพที่เชื่อมโยงกับชุมชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
การปรับใช้:
• ใช้ อสม. เป็นกลไกหลักในการเก็บข้อมูลและให้คำแนะนำด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
________________________________________
ปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จในบริบทประเทศไทย:
1. การสนับสนุนจากภาครัฐ: ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์วิจัยและเครื่องมือถอดรหัสหรือตรวจสอบทางพันธุกรรม
2. การให้ความรู้แก่ประชาชน: เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับจีโนมและ epigenetics ในการดูแลสุขภาพ
3. การบูรณาการเทคโนโลยี: ใช้ AI และ Big Data ในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล
4. การสร้างพันธมิตร: ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และองค์กรเอกชนในการพัฒนาโครงการ
________________________________________
References
1. National Precision Medicine Program (Singapore)
Ministry of Health Singapore. (2020). National Precision Medicine Programme in Singapore. Retrieved from https://www.moh.gov.sg
2. All of Us Research Program (USA)
National Institutes of Health (NIH). (2022). All of Us Research Program: Transforming Health Through Precision Medicine. Retrieved from https://allofus.nih.gov
3. Genomics England (UK)
Genomics England. (2021). The 100,000 Genomes Project: Transforming healthcare through genomic medicine. Retrieved from https://www.genomicsengland.co.uk
4. Gut Microbiome Project (Japan)
Ministry of Health, Labour and Welfare, Japan. (2021). Gut Microbiome Research and Its Impact on Chronic Diseases. Retrieved from https://www.mhlw.go.jp
5. Danish Lifestyle Medicine Program (Denmark)
Danish Health Authority. (2021). Integrating Epigenetics into Lifestyle Medicine for Chronic Disease Management. Retrieved from https://www.sst.dk
ชื่อผู้เผยแพร่
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - 28-01-2025
แสดงความคิดเห็น