คำถามที่ต้องการคำตอบเกี่ยวกับโควิด-19
ทำไมบางคนไม่ว่าจะเป็น "เด็ก คนหนุ่มสาว หรือ ผู้สูงวัย" แม้จะอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 นานเท่าไรก็ไม่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใด (resistant)?
ทำไมบางคนแม้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเปราะบางแต่เมื่อติดเชื้อโควิด-19 กลับมีอาการรุนแรง และบางรายถึงขั้นเสียชีวิตทั้งที่อายุน้อยกว่า 50 ปี และไม่มีโรคประจำตัว (life-threatening)?
ทำไมบางคนถึงเป็นลองโควิด (long COVID) ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่เป็น?
ปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องประการหนึ่งคือการที่ร่างกายผู้ติดเชื้อมีการสร้างสาร "อินเตอร์เฟอรอน (Interferon)" บกพร่อง ซึ่งเป็นประเด็นที่นักวิจัยทั่วโลกกำลังมุ่งเน้นการศึกษาและวิจัย
********************************
อินเตอร์เฟอรอน (Interferon)
อินเตอร์เฟอรอนเป็นโปรตีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยทำหน้าที่ป้องกันและต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสอย่างเฉียบพลัน เมื่อเซลล์ถูกกระตุ้นด้วยเชื้อโรค อินเตอร์เฟอรอนจะถูกหลั่งออกมาเพื่อส่งสัญญาณเตือนเซลล์ข้างเคียงให้เพิ่มความต้านทานต่อการติดเชื้อ
แอนติบอดี (Antibody)
แอนติบอดีเป็นโปรตีนที่มีรูปร่างคล้ายตัว Y ซึ่งสร้างโดยเม็ดเลือดขาวชนิดบี เพื่อจดจำและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยจะจับกับแอนติเจนอย่างจำเพาะเจาะจง ทำให้เชื้อโรคถูกทำลายหรือถูกกำจัดออกจากร่างกายได้
ความแตกต่างในการทำงาน
ในกรณีของ โควิด-19 อินเตอร์เฟอรอนจะทำงานเป็น “ด่านแรก” ในการต่อต้านไวรัส โดยกระตุ้นให้เซลล์มีสภาวะต้านทานการติดเชื้อ ส่วนแอนติบอดีจะทำงานใน “ภายหลัง” โดยจดจำและทำลายไวรัสที่ปรากฏในกระแสเลือด
การทำงานของทั้งสองชนิดมีความสำคัญและเกื้อหนุนกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในกรณีของ โควิด-19 พบว่า:
- อินเตอร์เฟอรอนมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับไวรัส SARS-CoV-2 โดยเฉพาะในระยะแรกของการติดเชื้อ
- มีการศึกษาการใช้อินเตอร์เฟอรอนเป็นยารักษา โควิด-19 โดยพบว่าอาจช่วยลดระยะเวลาการกำจัดไวรัสและลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยบางกลุ่ม
- พบว่าผู้ป่วย โควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงบางรายมีแอนติบอดีต่อต้านอินเตอร์เฟอรอน (anti-interferon autoantibodies) หรือยีนที่สร้างอินเตอร์เฟอรอน มีการกลายพันธุ์ ซึ่งอาจส่งผลให้การตอบสนองต่อไวรัสลดลง
- แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นหลังการติดเชื้อหรือได้รับวัคซีนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับแอนติบอดีจะลดลงตามเวลา ทำให้ความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อลดลง แต่ยังคงช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
- การฉีดวัคซีนกระตุ้น โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับเข็มที่ 3 หรือ 4 สามารถช่วยลดความเสียหายที่เกิดจาก โควิด-19 ได้ 2-3 เท่า
********************************
โครงการ COVID Human Genetic Effort (COVID-HGE) เป็นการศึกษาวิจัยระดับนานาชาติขนาดใหญ่ที่มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมกับความรุนแรงของโรคโควิด-19 โดยมีการดำเนินงานที่นำโดย ศ.ฌอง-ลอรองต์ คาซาโนวา และ ศ.เชียน จาง จาก Rockefeller University และ INSERM โครงการนี้มีศูนย์ถอดรหัสพันธุกรรมมากกว่า 50 แห่งและโรงพยาบาลหลายร้อยแห่งเข้าร่วม พร้อมด้วยอาสาสมัครมากกว่า 50,000 คนจากทั่วโลก
ในส่วนของประเทศไทย ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้เข้าร่วมโครงการ โดยทำการถอดรหัสพันธุกรรมยีนทั้งหมดของผู้ติดเชื้อชาวไทย 100 คน ที่มีอาการโควิด-19 แตกต่างกัน ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงอาการรุนแรง
เป้าหมายสำคัญของโครงการคือการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมกับการติดเชื้อ SARS-CoV-2 และทำความเข้าใจสาเหตุที่ผู้ป่วยมีอาการแตกต่างกัน การศึกษานี้จะนำไปสู่การพัฒนาวิธีการป้องกันและรักษาโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต โดยอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของพันธุกรรมมนุษย์ในการตอบสนองต่อไวรัส
********************************
ประเด็นสำคัญ
การกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง “P335del” บนยีน “IFNAR1” พบได้บ่อยในประชากรจีนตอนใต้ (ประมาณร้อยละ 2) และมีการกระจายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพบการกลายพันธุ์ใน:
• เกาหลีใต้: ร้อยละ 1.32
• เวียดนาม: ร้อยละ 1.79
• อินเดีย: ร้อยละ 0.08
• ไทย: ร้อยละ 0.1
• พบน้อยมากในยุโรปและแอฟริกา
ผู้ที่มีการกลายพันธุ์นี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไวรัสร้ายแรง โดยเฉพาะ:
• ปอดอักเสบรุนแรงจาก โควิด-19
• โรคสมองอักเสบจากไวรัสเจอี
• การติดเชื้อไวรัสอื่นๆ
การค้นพบใหม่เกี่ยวกับยีน IFNAR1 แสดงให้เห็นว่าความผันแปรทางพันธุกรรมมีผลต่อความรุนแรงของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย พบผู้ป่วย 1 รายจากอาสาสมัคร 100 คน ที่มีการกลายพันธุ์ “P335del” และมีอาการโควิด-19 รุนแรง
ผลกระทบของการกลายพันธุ์
- ทำให้การตอบสนองต่อ IFN-α และ IFN-ω บกพร่อง แต่ยังตอบสนองต่อ IFN-β ได้ปกติ
- ส่งผลให้ผู้ที่มีการกลายพันธุ์มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสรุนแรง
- แม้มีการกลายพันธุ์เพียงข้างเดียว (heterozygous) ก็สามารถแสดงผลทางคลินิกได้
การนำไปใช้ทางการแพทย์
1. การพัฒนาการตรวจคัดกรองทางพันธุกรรม
2. การวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลด้วยอินเตอร์เฟอรอน
3. การป้องกันและเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยง
4. การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม
แนวทางการพัฒนาในอนาคต
- การศึกษาต่อยอดในประชากรไทย
- การพัฒนาศูนย์ให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม
- การบูรณาการการแพทย์จีโนมิกส์กับการแพทย์วิถีชีวิต
- การยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
********************************
รายละเอียด
โรคโควิด-19 ที่เกิดจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อประชากรโลก ความรุนแรงของโรคนี้ขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างไวรัสและร่างกายมนุษย์ โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อความรุนแรงของโรค
การกลายพันธุ์ของไวรัส SARS-CoV-2 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และนำไปสู่การเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน อีกปัจจัยหนึ่งคือพันธุกรรมของติดเชื้อเอง โดยความแตกต่างทางพันธุกรรมของแต่ละบุคคลและชาติพันธุ์มีผลอย่างมากต่อระดับความรุนแรงของโรคเมื่อมีการติดเชื้อ
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะสร้างสารคัดหลั่งประเภทโปรตีนต่างๆ เพื่อต่อสู้กับไวรัสที่รุกรานเข้ามา ซึ่งประสิทธิภาพของการตอบสนองนี้จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล นักวิจัยได้ค้นพบยีนหลายชนิดที่ควบคุมการสร้างโปรตีนเหล่านี้ ที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค โดยสามารถจัดลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้
1. ยีนที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เฟอรอน (IFNAR1, IFNAR2, TYK2)
เมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัส ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองโดยสร้างโปรตีนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า ไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ภูมิคุ้มกัน หนึ่งในไซโตไคน์ที่สำคัญคือ อินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ที่ช่วยต่อต้านการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ
ไซโตไคน์ถูกผลิตจากเซลล์ภูมิคุ้มกันและเซลล์อื่นๆ ในร่างกาย เพื่อควบคุมการเจริญเติบโต การทำงาน และการเคลื่อนที่ของเซลล์ภูมิคุ้มกัน โดยมียีนกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผลิตไซโตไคน์ โดยเฉพาะยีน IFNAR2 ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอินเตอร์เฟอรอน
การทำงานของอินเตอร์เฟอรอนมีความสำคัญมาก เพราะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันและสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการแพร่กระจายของไวรัส หากยีน IFNAR มีการแสดงออกในรูปการสร้างโปรตีนที่ลดลง จะส่งผลให้การผลิตอินเตอร์เฟอรอนบกพร่อง ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง
2. ยีน ACE2
ยีน ACE2 มีหน้าที่สร้างโปรตีนตัวรับที่อยู่บนผิวเซลล์มนุษย์ ซึ่งเป็นจุดที่ไวรัส SARS-CoV-2 ใช้ส่วนหนามของมันเข้าเกาะจับ โปรตีนนี้จึงเปรียบเสมือนประตูที่เปิดให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงของยีน ACE2 ที่ส่งผลต่อปริมาณหรือการทำงานของโปรตีนตัวรับ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและทำให้เกิดอาการรุนแรงได้
3. ยีนไซโตไคน์ (TNF, IL6, IFN-α)
ยีนไซโตไคน์ เช่น TNF, IL6 และ IFN-α มีบทบาทในการควบคุมการอักเสบในร่างกาย เมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัส ระบบภูมิคุ้มกันจะปล่อยไซโตไคน์เหล่านี้เพื่อกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม การผลิตไซโตไคน์มากเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะอักเสบที่รุนแรง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการหนักจากโควิด-19 ได้
4. ยีนในตำแหน่ง 3p21.31บนแขนสั้นของโครโมโซมที่ 3 ของมนุษย์ (LZTFL1, SLC6A20, CCR9, FYCO1, CXCR6, XCR1)
กลุ่มยีนนี้ถูกระบุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมที่สำคัญต่อการเกิดโรคโควิด-19 รุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมในตำแหน่ง 3p21.31 การศึกษาพบว่าผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในยีนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีอาการหนักเมื่อติดเชื้อ SARS-CoV-2
5. ยีน TMPRSS2
ยีน TMPRSS2 เป็นยีนที่สร้างเอนไซม์ซึ่งช่วยให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ โดยเอนไซม์นี้จะช่วยในการเปิดโปรตีนของไวรัส ทำให้ไวรัสสามารถเข้าถึงเซลล์ได้ง่ายขึ้น การมีปริมาณ TMPRSS2 ที่สูงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อและความรุนแรงของโรค
6. กลุ่มยีน OAS (OAS1/OAS2/OAS3)
กลุ่มยีน OAS มีความสัมพันธ์อย่างมากกับระดับความรุนแรงของโรคโควิด-19 โดยยีนเหล่านี้ช่วยในการตอบสนองต่อการติดเชื้อไวรัส และมีบทบาทในการสร้างโปรตีนที่ช่วยหยุดการแพร่กระจายของไวรัสในเซลล์
7. ยีน HLA
ยีน HLA มีบทบาทในการกำหนดความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการรู้จำและตอบสนองต่อเชื้อโรคต่างๆ การศึกษาพบว่าบางรูปแบบของ HLA อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 แม้ว่าจะไม่ชัดเจนเท่ายีนอื่นๆ แต่ก็ยังถือว่ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดความไวต่อการติดเชื้อและความรุนแรงของโรค
********************************
งานวิจัย
ผลงานวิจัยล่าสุดจากโครงการนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Experimental Medicine เมื่อ 16 ธันวาคม 2567 โดยมีชื่อเรื่องว่า "A common form of dominant human IFNAR1 deficiency impairs IFN-a and -ω but not IFN-β-dependent immunity" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการขาด IFNAR1 ในการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่อไวรัสต่างๆ รวมถึง SARS-CoV-2 โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการหนักจากโควิด-19 การศึกษาเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจกลไกการเกิดโรคโควิด-19 ได้ดีขึ้น และอาจนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการรักษาและป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันบทบาทของยีนเหล่านี้ในการกำหนดความรุนแรงของโรคโควิด-19
การศึกษานี้ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความบกพร่องของยีน IFNAR1 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัส โดยทั่วไปแล้ว ความบกพร่องในแบบ autosomal recessive ของยีน IFNAR1 หรือ IFNAR2 จะทำให้สูญเสียการตอบสนองต่ออินเตอร์เฟียรอนชนิด α, β และ ω อย่างสมบูรณ์ ซึ่งพบได้น้อยมากในประชากรทั่วโลก ยกเว้นในพื้นที่โพลินีเซียตะวันตกและอาร์กติก
อย่างไรก็ตาม IFNAR1 เป็นยีนที่สร้างโปรตีนตัวรับสำหรับอินเตอร์เฟียรอนชนิดที่ 1 โดยทำงานร่วมกับ IFNAR2 เพื่อสร้างตัวรับที่สมบูรณ์ การศึกษานี้พบการกลายพันธุ์ใหม่ 10 รูปแบบของยีน IFNAR1 ที่ส่งผลให้การตอบสนองต่ออินเตอร์เฟียรอน α และ ω บกพร่อง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการตอบสนองต่ออินเตอร์เฟียรอน β ซึ่งแตกต่างจากการกลายพันธุ์ทั่วไปที่ทำให้สูญเสียการตอบสนองต่ออินเตอร์เฟียรอนทั้งสามชนิด การกลายพันธุ์เหล่านี้ส่วนใหญ่พบได้น้อย ยกเว้น “P335del” ที่พบบ่อยในประชากรจีนตอนใต้ โดยมีความถี่อัลลีลประมาณ 2%
ผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์เหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสรุนแรง โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจและสมอง เช่น โควิด-19 และไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัส JEV ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอินเตอร์เฟียรอน α และ ω ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสบางชนิดในมนุษย์
• IFN-α: เป็นกลุ่มโปรตีนที่มีหลายซับไทป์ (subtypes) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ที่ถูกติดเชื้อไวรัส
• IFN-β: เป็นโปรตีนที่มักจะผลิตขึ้นเป็นตัวแรกเมื่อเซลล์ตรวจพบการติดเชื้อไวรัส มันมีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างอินเตอร์เฟอรอนชนิดอื่นๆ และช่วยให้เซลล์มีความต้านทานต่อการติดเชื้อ
• IFN-ω: มีบทบาทคล้ายกับ IFN-α แต่มีความสัมพันธ์กับการตอบสนองในบางสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
ความสำคัญของผลการศึกษา
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ IFN-α และ IFN-ω ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส และแสดงให้เห็นถึงกลไกที่ซับซ้อนของระบบภูมิคุ้มกันในการตอบสนองต่อไวรัส ซึ่งอาจช่วยในการพัฒนาวิธีการรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อในอนาคต
หนึ่งในความผันแปรที่สำคัญของยีน IFNAR1 คือ “P335del” หมายถึงการกลายพันธุ์ในยีน IFNAR1 ที่มีกรดอะมิโนโปรลีน (Proline) ที่ตำแหน่ง 335 ของโปรตีน IFNAR1 ขาดหายไป การกลายพันธุ์นี้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตัวรับอินเตอร์เฟอรอนชนิดที่ 1 (Type I interferon receptor) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสซึ่งพบได้บ่อยในประชากรจีนตอนใต้ถึง 2% ขณะที่อีก 10 รูปแบบที่เหลือพบได้น้อยในประชากรทั่วไป การศึกษาในระดับเซลล์แสดงให้เห็นว่า แม้จะมียีนผิดปกติเพียงข้างเดียว (heterozygous) ก็สามารถแสดงผลทางคลินิกได้ ซึ่งเกิดจากกลไก negative dominance มากกว่า haploinsufficiency
ความหมายของคำศัพท์
- Negative Dominance: หมายถึง สถานการณ์ที่การมียีนผิดปกติข้างเดียวทำให้การทำงานของยีนปกติอีกข้างหนึ่งลดลงหรือถูกขัดขวาง ไม่ใช่เพียงแค่การขาดหายไปของการทำงาน (haploinsufficiency)
- Haploinsufficiency: หมายถึง สถานการณ์ที่การมีสำเนายีนเพียงหนึ่งสำเนาไม่เพียงพอที่จะทำให้การทำงานของยีนเป็นปกติ
ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน
การมี P335del ทำให้ผู้ที่มียีนผิดปกติมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัส เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเต็มที่ต่ออินเตอร์เฟอรอน α และ ω ซึ่งเป็นไซโตไคน์ที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
จากข้อมูลในผลการศึกษา พบว่ามีอาสาสมัครจากประเทศไทย 100 คนที่ร่วมในการศึกษานี้โดยพบ 1 คน ที่พบ มี P335del และมีอาการติดเชื้อโควิด-19 รุนแรง โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- อายุ: 62 ปี
- เพศ: หญิง
- อาการ: โควิด-19 รุนแรง (Critical โควิด-19 pneumonia)
- ผลลัพธ์: รอดชีวิต
- การกลายพันธุ์ของยีน: P335del/+ (heterozygous)
การกลายพันธุ์ P335del ทำให้การสร้างกรดอะมิโน “โปรลีน” ที่ตำแหน่ง 335 ของโปรตีน IFNAR1 ขาดหายไปซึ่งมีผลดังนี้:
1. ทำให้การตอบสนองต่อ IFN-α และ IFN-ω บกพร่อง แต่ยังคงตอบสนองต่อ IFN-β ได้ปกติ
2. แสดงลักษณะการถ่ายทอดแบบข่มไม่สมบูรณ์ (dominant-negative)
3. พบได้บ่อยในประชากรจีนตอนใต้ (ความถี่อัลลีลประมาณ 2%)
นอกจากอาสาสมัครไทยแล้ว การศึกษานี้ยังมีอาสาสมัครจากประเทศอื่นๆ ที่พบการกลายพันธุ์บนยีน IFNAR1 จำนวน 28 คน และมีการติดเชื้อแบบไม่มีอาการจนถึงรุนแรงเสียชีวิต จาก 13 ประเทศ ได้แก่ อาหรับ บราซิล กัมพูชา จีน อินเดีย อิหร่าน อิสราเอล ไอวอรีโคสต์ เลบานอน เม็กซิโก ปากีสถาน สเปน และตุรกี โดยมีอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 84 ปี
ด้วยความสำคัญของการค้นพบนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังดำเนินการศึกษาต่อยอดในประชากรไทย โดยใช้ความพร้อมด้านเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์จีโนมและฐานข้อมูลพันธุกรรม เพื่อศึกษาความชุกของความผันแปรนี้และพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะในด้านการป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อไวรัส
นอกจากนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รามาธิบดี ยังมีแผนที่จะเป็นศูนย์กลางให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมและแปลผลการตรวจทางพันธุกรรมต่อการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ การค้นพบนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นความสำคัญของอินเตอร์เฟียรอน α และ ω ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส แต่ยังชี้ให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนาการแพทย์จีโนมิกส์เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาพในอนาคต
การที่สถาบันวิจัยไทยได้มีส่วนร่วมในโครงการ COVID-HGE นี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมในการร่วมงานวิจัยระดับโลก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการแพทย์จีโนมิกส์ในประเทศไทย และการยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของประชาชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป