**ตอนที่ 1**
>> สุขภาวะองค์รวม (Holistic Wellbeing) การนำเทคโนโลยีจีโนมิกส์วิถีชีวิตมาใช้ในระบบสาธารณสุขไทย
นอกจากจะยกระดับการดูแลสุขภาพให้แม่นยำและเฉพาะเจาะจงแล้ว ยังส่งเสริมแนวคิดสุขภาวะองค์รวม (Holistic Wellbeing) ซึ่งหมายถึงสภาวะที่มนุษย์มีความสมบูรณ์และสมดุลในทุกมิติของชีวิต ประกอบด้วย 4 ด้านหลักที่เชื่อมโยงและส่งผลต่อกัน ได้แก่ มิติทางกาย ที่เน้นสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีพลังงานในการดำเนินชีวิต มิติทางจิตใจ ที่มุ่งเน้นสุขภาพจิตและความสมดุลทางอารมณ์ มิติทางสังคม ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และมิติทางจิตวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับการมีความหมายและเป้าหมายในชีวิต การสร้างสุขภาวะองค์รวมจึงต้องดูแลให้ครบทุกมิติไปพร้อมกันอย่างสมดุล เพราะปัญหาในมิติหนึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อมิติอื่น ๆ เช่น เมื่อร่างกายไม่แข็งแรงก็อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจ หรือเมื่อมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีก็จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่แข็งแรงและร่างกายที่สมบูรณ์
>> ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างเวชศาสตร์วิถีชีวิตและเวชศาสตร์ชะลอวัย
ความเหมือน: ทั้งเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) และเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) มีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีและป้องกันโรค โดยทั้งสองศาสตร์เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และใช้แนวทางแบบองค์รวมในการดูแลสุขภาพ
ความแตกต่าง:
- เป้าหมาย: เวชศาสตร์วิถีชีวิตมุ่งเน้นการป้องกันและรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ในขณะที่เวชศาสตร์ชะลอวัยมุ่งเน้นการชะลอความเสื่อมของร่างกายและฟื้นฟูสุขภาพเพื่อให้มีอายุยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
- วิธีการ: เวชศาสตร์วิถีชีวิตเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ เช่น การรับประทานอาหารที่ดี การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการนอนหลับที่เพียงพอ ส่วนเวชศาสตร์ชะลอวัยใช้วิธีการที่หลากหลายมากกว่า รวมถึงการใช้ฮอร์โมน สารอาหารเสริม และเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง
- ขอบเขต: เวชศาสตร์วิถีชีวิตมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อป้องกันโรค ในขณะที่เวชศาสตร์ชะลอวัยครอบคลุมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อช่วยในการชะลอความเสื่อมของร่างกาย
โดยรวมแล้ว แม้ว่าเวชศาสตร์วิถีชีวิตและเวชศาสตร์ชะลอวัยจะมีเป้าหมายร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ แต่ก็มีแนวทางและจุดเน้นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้แต่ละศาสตร์มีบทบาทเฉพาะในวงการแพทย์และสุขภาพ
-การรับรอง เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) เป็นสาขาที่ได้รับการรับรองจากแพทยสภาในประเทศไทย โดยอยู่ภายใต้สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine) ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การจัดการโภชนาการ การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการนอนหลับ เป็นต้น
ในทางกลับกัน เวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) ยังไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 94 สาขาความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากแพทยสภาตามกฎหมายปัจจุบัน
>> โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประชากรโลกและคนไทย ในระดับโลก NCDs คิดเป็นประมาณ 71% ของการเสียชีวิตทั้งหมด หรือประมาณ 41 ล้านคนต่อปีทั่วโลก องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจถึง 23 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ (85%) จะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา สำหรับประเทศไทย NCDs คิดเป็น 75-81% ของการเสียชีวิตทั้งหมด มีผู้ป่วย NCDs ประมาณ 14 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจาก NCDs ประมาณ 340,000-400,000 คนต่อปี นอกจากนี้ พบว่าประมาณ 21.4% ของประชากรไทยวัยผู้ใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และ 6.9% มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
NCDs ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสุขภาพและ สปสช. ดังนี้:
1. ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น: NCDs เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแลระยะยาว ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและต่อเนื่องแก่ สปสช.
2. การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยสะสม: แม้อัตราการตายจะเพิ่มขึ้นช้ากว่าความชุกของโรค แต่จำนวนผู้ป่วยสะสมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ สปสช. ต้องรับภาระในการดูแลผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
3. ความท้าทายในการจัดการบริการ: การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย NCDs ทำให้หน่วยบริการสุขภาพมีภาระงานเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพการบริการ สปสช. จึงต้องปรับรูปแบบการจัดการบริการใหม่เพื่อรองรับสถานการณ์นี้
4. ความจำเป็นในการลงทุนด้านการป้องกัน: สปสช. ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการป้องกันและควบคุม NCDs เช่น การจัดชุดเครื่องมือให้บริการแก่ อสม. ทั่วประเทศเพื่อป้องกันและควบคุมโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน
5. ผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการเงิน: หากไม่มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก NCDs อาจส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินของ สปสช. ในระยะยาว
การป้องกันและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาวะองค์รวมที่ดี ทำได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการรอให้เกิดโรคแล้วค่อยรักษา เวชศาสตร์วิถีชีวิตเน้นการป้องกันและรักษาโรคผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต ซึ่งมีประโยชน์ทั้งในการเพิ่มผลลัพธ์ทางสุขภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ ยังช่วยลดปัญหาการฟ้องร้องระหว่างแพทย์กับคนไข้ เนื่องจากเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการดูแลสุขภาพตนเอง และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยในการวางแผนการรักษาและป้องกันโรค
>> ความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายของเวชศาสตร์วิถีชีวิต
เวชศาสตร์วิถีชีวิตมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต โดยไม่ต้องพึ่งพายาหรือการรักษาที่มีความเสี่ยง นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาว การนำเวชศาสตร์วิถีชีวิตมาใช้อย่างแพร่หลายจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุข รวมถึง สปสช. เนื่องจากลดอัตราการเกิดโรค NCDs ลดการใช้ยาและการรักษาที่มีราคาแพง
>> การปฏิบัติในระดับรากหญ้า
ประชาชนทั่วไปสามารถนำหลักการของเวชศาสตร์วิถีชีวิตไปปฏิบัติได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฝึกการจัดการความเครียด จัดตารางเวลาการนอนให้เพียงพอ ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
>> ผลดีต่อระบบสาธารณสุข
การส่งเสริมเวชศาสตร์วิถีชีวิตในวงกว้างจะช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และทำให้ระบบสาธารณสุขมีความยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้ สปสช. สามารถบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่เสี่ยงต่อการล้มละลาย
**ตอนที่ 2**
>> สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทยได้พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านเพื่อวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (เวชศาสตร์วิถีชีวิต) หรือ Residency Training in Preventive Medicine: (Lifestyle Medicine) ในปี 2565 โดยมีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เป็นสถาบันหลักในการฝึกอบรม หลักสูตรนี้มีระยะเวลาการฝึกอบรม 3 ปี โดยแบ่งเป็นการฝึกอบรมที่กรมอนามัยเป็นเวลา 2 ปี (Two year in service training program) และศึกษาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาในสาขาสาธารณสุขศาสตร์หรือด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต หรือในสาขาที่เกี่ยวข้องหรือเทียบเท่าอีก 1 ปี ผู้สำเร็จการฝึกอบรมจะได้รับวุฒิบัตร (ว.ว.) สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (เวชศาสตร์วิถีชีวิต) และได้รับการยอมรับในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (เวชศาสตร์วิถีชีวิต) โดยกรมอนามัยได้ร่วมมือทางวิชาการกับ 4 สถาบันการศึกษาทางการแพทย์และสาธารณสุขชั้นนำในการฝึกอบรมหลักสูตรนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับกรมอนามัยได้นำเทคโนโลยีจีโนมิกส์วิถีชีวิตมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพประชาชน มุ่งป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างรอบด้าน ภายใต้แนวคิดส่งเสริมสุขภาวะองค์
รวมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหิดล
การผลิตแพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งต่อปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม ดังนี้:
ประโยชน์ต่อปัจเจกบุคคล:
1. ยกระดับสุขภาพองค์รวมและลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) สำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัย เพื่อการป้องกันและรักษาโรค NCDs อย่างมีประสิทธิภาพ
2. มุ่งเน้นการป้องกันโรคด้วยการปรับเปลี่ยนปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต อาทิ โภชนาการ การออกกำลังกาย การบริหารจัดการความเครียด และการพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ
3. เสริมสร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ ส่งเสริมการดูแลรักษาที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
4. สนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิผล
5. บรรเทาปัญหาการฟ้องร้องระหว่างแพทย์และผู้ป่วย โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการดูแลสุขภาพตนเอง ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงที่อาจมีผลข้างเคียงที่ยังไม่แน่ชัด และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วยในการวางแผนการรักษาและป้องกันโรคอย่างเป็นระบบ
ประโยชน์ระดับประเทศของการผลิตแพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิต:
1. การประหยัดงบประมาณด้านสาธารณสุขในระยะยาว: โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคเชิงรุกและการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการเข้ารับการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้ประเทศสามารถจัดสรรทรัพยากรด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ: แพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิตสามารถให้คำแนะนำเฉพาะทางในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดภาระการพึ่งพิงและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว
3. การยกระดับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism): แพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิตสามารถให้บริการด้านการประเมินสุขภาพเชิงป้องกันแบบครบวงจรแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มมูลค่าและความน่าสนใจให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย โดยนำเสนอบริการที่ผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยว การดูแลสุขภาพ และการป้องกันโรคแบบองค์รวม ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพจากทั่วโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
4. การพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ทันสมัยและครอบคลุม: โดยเน้นการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเชิงรุก ทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศมีความก้าวหน้าและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. การสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน: ส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีและสร้างภูมิคุ้มกันจากโรคเรื้อรังในระดับประชากร ช่วยยกระดับสุขภาวะโดยรวมของประเทศ
การลงทุนในการผลิตแพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิตจึงเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนแล้ว ยังเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศ ตลอดจนสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกด้านการให้บริการทางการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ
ภายใต้หลักสูตรนี้ ได้มีความร่วมมือในการพัฒนาโครงการฝึกอบรมโดยนำเทคโนโลยีจีโนมิกส์มาเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพประชาชนไทยให้แม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันโครงการดำเนินมาเป็นปีที่สอง มีแพทย์เข้าร่วมอบรมจำนวน 3 ท่าน โดยศูนย์จีโนมฯ มีเป้าหมายที่จะสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนผ่านข้อมูลจากตรวจวิเคราะห์พันธุกรรม พร้อมทั้งแนะนำแนวทางปรับเปลี่ยนวิถีเพื่อส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน
เมื่อผสมผสานเทคโนโลยีจีโนมิกส์เข้ากับแนวทางดูแลแบบองค์รวม จะช่วยทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ รวมถึงแนวทางรักษาที่แม่นยำ ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย และเหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับระบบสาธารณสุขไทย ให้สามารถก้าวทันกับวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ด้านแพทย์ระดับโลก
**ตอนที่ 3**
จีโนมิกส์วิถีชีวิตมีจุดเด่นหลายประการในการยกระดับการดูแลสุขภาพ ทั้งการป้องกันโรคแบบเฉพาะบุคคล การรักษาที่แม่นยำ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ การลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งล้วนส่งเสริมสุขภาวะองค์รวมของประชาชน
การป้องกันและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาวะองค์รวมที่ดี ทำได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการรอให้เกิดโรคแล้วค่อยรักษา เวชศาสตร์วิถีชีวิตเน้นการป้องกันและรักษาโรคผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต ซึ่งมีประโยชน์ทั้งการเพิ่มผลลัพธ์ทางสุขภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่สำคัญเพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม ประกอบด้วย การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การดื่มน้ำเปล่า การสูดอากาศบริสุทธิ์ การใช้เวลากับครอบครัว การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เพื่อติดตามและประเมินผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ แพลตฟอร์ม "กินอยู่ดี" ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยคณาจารย์ จากมหาวิทยาลัยบูรพา ล่าสุดได้ร่วมมือกับศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในการวิเคราะห์ข้อมูลดีเอ็นเอด้านต่างๆ เพื่อนำเข้าสู่แอปพลิเคชันกินอยู่ดี สำหรับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ แพลตฟอร์มนี้ครอบคลุมตั้งแต่การสั่งซื้อวัตถุดิบอาหาร สินค้าและบริการสุขภาพ การบันทึกข้อมูลสุขภาพ การแพทย์ทางไกล (ด้วยแพทย์ LM) การดูแลสุขภาพองค์รวม รวมถึงระบบแนะนำสารอาหารและโภชนาการเฉพาะบุคคล และระบบดูแลสุขภาพแบบแม่นยำ ซึ่งทั้งหมดสนับสนุนแนวคิดสุขภาวะองค์รวม