2
392
0
1
0
อนาคตของการดูแลสุขภาพ-การป้องกันต้องนำหน้าการรักษา: เวชศาสตร์วิถีชีวิตกำลังปฏิวัติการดูแลผู้ป่วยในปี 2025
08-11-2024
08-11-2024
- ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
 
เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นการปฏิวัติแนวคิดและมุมมองที่เรามีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต การให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ผสานกับการนำเทคโนโลยีมาใช้และการแก้ไขปัญหาทางสังคม กำลังนำไปสู่การสร้างระบบสาธารณสุขรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการรักษาที่ไม่มีที่สิ้นสุด การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากวงจรอันไม่พึงประสงค์ของค่าใช้จ่ายมหาศาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
 
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของวงการแพทย์คือ การทำให้การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเป็นระบบที่ยั่งยืนทางการเงิน ทั้งสำหรับผู้ให้บริการและผู้รับบริการ การสร้างสมดุลระหว่างคุณภาพการรักษากับความคุ้มทุนจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้แนวคิดนี้เป็นจริงได้
 
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง และมะเร็ง กำลังเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การบริโภคอาหารรสจัด การขาดการออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
 
การลงทุนเพื่อป้องกันโรค NCDs: ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
ประเทศไทยได้ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อต่อสู้กับโรค NCDs โดยมีการลงทุนถึง 211,000 ล้านบาทในแผนการแทรกแซง 5 ชุด ซึ่งคาดว่าจะช่วยรักษาชีวิตประชาชนได้ถึง 310,000 คน และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมูลค่า 430,000 ล้านบาทภายในระยะเวลา 15 ปีข้างหน้า
จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 เผยให้เห็นภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค NCDs หลัก ประกอบด้วย โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงที่ต้องใช้งบประมาณโรคละ 14,000 ล้านบาท และโรคไตที่ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 22,000 ล้านบาท รวมเพียงสามโรคนี้ก็ต้องใช้งบประมาณมากกว่า 50,000 ล้านบาทแล้ว
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรค NCDs ต่อประเทศไทยนั้นสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษา 139,000 ล้านบาท และการสูญเสียผลิตภาพทางเศรษฐกิจอีก 1.5 ล้านล้านบาท
ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ รัฐบาลไทยจึงได้ร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกในการพัฒนาแนวทางการลงทุนเพื่อป้องกันและควบคุมโรค NCDs ซึ่งจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่คุ้มค่าทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ
ข้อมูลที่น่าตระหนักคือ แม้ว่างบประมาณด้านสาธารณสุขถึง 90% จะถูกใช้ไปกับการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แต่ความจริงที่น่าสนใจคือโรคเหล่านี้สามารถป้องกันได้ถึง 80% ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต สิ่งนี้กำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการสาธารณสุข จากการมุ่งเน้นการรักษาเมื่อเกิดอาการ สู่การส่งเสริมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย
สุขภาวะแบบองค์รวมนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการดูแลร่างกาย แต่ครอบคลุมถึงการดูแลจิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ เนื่องจากทุกมิติของชีวิตล้วนเชื่อมโยงและส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก
 
การเปลี่ยนแปลงในการให้บริการด้านสุขภาพ
ดร. ปัทมา ปาเทล ประธานวิทยาลัยเวชศาสตร์วิถีชีวิตแห่งอเมริกา ได้สะท้อนมุมมองา ระบบสาธารณสุขในปัจจุบันที่มุ่งเน้นการรักษาตามอาการของโรคเรื้อรังนั้น กำลังกลายเป็นวงจรที่สิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและไม่สามารถแก้ปัญหาสุขภาพได้อย่างยั่งยืน ด้วยเหตุนี้ แนวทางการดูแลสุขภาพจึงกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลแบบองค์รวม ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติทางร่างกาย อารมณ์ และสังคมของแต่ละบุคคลอย่างลึกซึ้ง
 
4 แนวโน้มสำคัญในปี 2025
1. การผสานเข้ากับการดูแลปฐมภูมิ
ยุคที่เวชศาสตร์วิถีชีวิตเป็นเพียงความเชี่ยวชาญเฉพาะทางกำลังจะสิ้นสุดลง โปรแกรมนวัตกรรมกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก:
- Blue Zones Health ในแคลิฟอร์เนียกำลังบุกเบิกโมเดลการให้บริการใหม่ที่เชื่อมโยงแพทย์ที่ได้รับการรับรองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตกับทรัพยากรในชุมชน
- โปรแกรมที่ก้าวหน้าของ UPMC นำเสนอการโค้ชกลุ่มแบบเสมือนจริงและคลาสเรียนภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อาหารเป็นยา
- The Primary Care Collaborative ได้เปิดตัวโครงการระยะหลายปีที่มุ่งเน้นการดูแลแบบองค์รวม
 
2. การปฏิวัติดิจิทัลในการดูแลผู้ป่วย
เทคโนโลยีกำลังกลายเป็นพันธมิตรที่ทรงพลังในเวชศาสตร์วิถีชีวิต:
- เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังสร้างแผนอาหารและตารางกิจกรรมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลภายในไม่กี่วินาที
- ระบบการบันทึกข้อมูลอัจฉริยะช่วยให้แพทย์สามารถมุ่งเน้นที่การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยได้มากขึ้น
- แอพด้านสุขภาพกำลังทำให้การแทรกแซงด้านวิถีชีวิตเข้าถึงกลุ่มประชากรระดับตัวบุคคลได้ง่ายขึ้นและติดตามผลได้ดีขึ้น
-ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีบูรณาการความรู้ด้านพันธุกรรมกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนงาน "จีโนมิกส์วิถีชีวิต" ตามแนวทางใหม่ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม (Holistic Wellbeing ) ของประชาชน จากเดิมที่มหาวิทยาลัยมหิดลให้ความสำคัญกับการจัดอันดับสถาบันการศึกษา (Academic ranking) เพียงอย่างเดียว -----ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีผนึกกำลังภาคเอกชน เปิดตัวแอป "กินอยู่ดี" (KinYooDee) นวัตกรรมใหม่ที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ตรงจุดมากขึ้น ด้วยบริการครบวงจร:
 
I. ตรวจ DNA วิเคราะห์สุขภาพเชิงลึก
a. รู้ความต้องการสารอาหารที่เหมาะกับตัวคุณ
b. เช็คความไวต่ออาหารแต่ละประเภท
c. ประเมินความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับโภชนาการ
 
II. แนะนำการออกกำลังกายตามพันธุกรรม
a. วิเคราะห์ยีนที่ส่งผลต่อสมรรถภาพร่างกาย
b. ออกแบบการออกกำลังกายที่เหมาะกับยีนของคุณ
 
III. สร้างแผนสุขภาพเฉพาะบุคคล
a. ปรับเมนูอาหารตามผลตรวจ DNA
b. วางแผนออกกำลังกายที่เข้ากับร่างกายคุณ
 
IV. ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
a. เรียนรู้เรื่องโภชนพันธุศาสตร์แบบเข้าใจง่าย
b. ปรึกษานักกำหนดอาหารและที่ปรึกษาด้านพันธุกรรมได้โดยตรง
 
3. ก้าวข้ามทางลัด: การผลักดันเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนร
ในขณะที่นวัตกรรมล่าสุดอย่างยา GLP-1 และโปรแกรม "อาหารเป็นยา" แสดงให้เห็นแนวโน้มที่ดี แต่จุดเน้นกำลังเปลี่ยนไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน:
- ผู้ให้บริการด้านสุขภาพกำลังเน้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมระยะยาวมากกว่าการเข้าแทรกแซงพฤติกรรมเพียงชั่วคราว
- การให้ความรู้ทั้งคนสุขภาพดีและผู้ป่วยตอนนี้รวมถึงทักษะภาคปฏิบัติ เช่น การเลือกซื้อและการเตรียมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในราคาที่จับต้องได้
- เป้าหมายคือการสร้างนิสัยด้านสุขภาพที่ยั่งยืนซึ่งจะคงอยู่ต่อไปแม้หลังจากการรักษาทางการแพทย์
 
4. การพัฒนาความเท่าเทียมด้านสุขภาพผ่านการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
ที่สำคัญที่สุดคือ เวชศาสตร์วิถีชีวิตกำลังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการจัดการกับความไม่เท่าเทียมด้านการดูแลสุขภาพ:
- การอัปเดต Medicare ปี 2024 ครอบคลุมการคัดกรองปัจจัยทางสังคมที่ส่งผลต่อสุขภาพ
- โปรแกรมต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการทั้งความต้องการด้านสุขภาพในปัจจุบันและปัจจัยทางสังคมที่เป็นรากฐาน
- ผู้ให้บริการด้านสุขภาพกำลังมองสถานการณ์และความท้าทายของผู้ป่วยในมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้น
การลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลง
 
ดร. ปาเทลไม่ได้เพียงแค่พูดถึงการเปลี่ยนแปลง—แต่ ดร. ปาเทล ได้ร่วมลงทุนด้วยการบริจาคทรัพย์ส่วนตัว 10,000 ดอลลาร์และมีเป้าหมายในการระดมทุน 100,000 ดอลลาร์จากเพื่อนแพทย์ เธอกำลังทำงานเพื่อสร้างโมเดลที่ยั่งยืนสำหรับการปฏิบัติเวชศาสตร์วิถีชีวิต โครงการริเริ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของวงการ: การทำให้การดูแลที่เน้นการป้องกันมีความเป็นไปได้ทางการเงินสำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
 
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ได้พัฒนาหลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์วิถีชีวิต เพื่อให้ได้รับวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในปี พ.ศ. 2565 หลักสูตรนี้มุ่งผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ โดยใช้แนวทางเวชศาสตร์วิถีชีวิต ที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันและจัดการโรคเรื้อรัง อันจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการแพทย์เปลี่ยนวิถีชีวิตของประเทศต่อไป
ชื่อผู้เผยแพร่
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - 08-11-2024
แสดงความคิดเห็น