สถานการณ์ล่าสุดของไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 รวมถึงกรณีที่พบในมนุษย์รายแรกที่ไม่มีการสัมผัสกับสัตว์ ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีก วัวนม และราคาอาหารที่เกี่ยวข้องในสหรัฐอเมริกา มาดู สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับราคาขายส่งของไข่ สัตว์ปีก และนม
>>>ราคาไข่/นม/สัตว์ปีก ในสหรัฐอเมริกา
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคา
มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดแรงกดดันขาขึ้นต่อราคาเหล่านี้:
1. การระบาดของไข้หวัดนกชนิดรุนแรง HPAI (Highly Pathogenic Avian Influenza): ระหว่างวันที่ 2 เมษายนถึง 28 พฤษภาคม 2567 ไก่ไข่ 14 ล้านตัวสูญเสียไปเนื่องจากไข้หวัดนกสายพันธุ์รุนแรงในสี่รัฐ
2. การผลิตที่ลดลง: การผลิตไข่ไก่รวมอยู่ที่ 639.9 ล้านโหลในเดือนเมษายน 2567 ลดลงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
3. การลดขนาดฝูง: จำนวนไก่ไข่เฉลี่ยลดลง 2.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 309.3 ล้านตัวในเดือนเมษายน 2567
4. การคาดการณ์การลดลง: USDA ได้ปรับลดการคาดการณ์สำหรับการผลิตไข่ไก่ในปี 2567 และ 2568 เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้
แม้ว่าราคาในปัจจุบันจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ แต่สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ที่กำลังดำเนินอยู่และผลกระทบต่อฝูงสัตว์ปีกกำลังสร้างแรงกดดันขาขึ้นต่อราคาขายส่งสำหรับไข่และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกอย่างชัดเจน สถานการณ์ยังคงเปลี่ยนแปลงได้ และจำเป็นต้องติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินผลกระทบทั้งหมดต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารและราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภค
การติดตามข้อมูลราคานม ไข่ และสัตว์ปีกในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการระบาดของไข้หวัดนก H5N1 สามารถมีประโยชน์ต่อประเทศไทยในหลายด้าน ดังนี้:
1. การคาดการณ์แนวโน้มตลาดโลก
ข้อมูลราคาจากสหรัฐอเมริกาสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยคาดการณ์แนวโน้มราคาในตลาดโลกได้ดีขึ้น เนื่องจากสหรัฐเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก การเปลี่ยนแปลงราคาในสหรัฐมักส่งผลกระทบต่อตลาดโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
2. โอกาสทางการส่งออก
หากราคาในสหรัฐสูงขึ้นเนื่องจากการระบาดของ H5N1 อาจเป็นโอกาสให้ผู้ส่งออกไทยเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลก โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ไก่แปรรูป ไข่ และนม
3. การเตรียมพร้อมรับมือการระบาด
ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของไข้หวัดนก H5N1 ต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีกและวัวนมในสหรัฐ สามารถช่วยให้ไทยเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดการระบาดในประเทศ ทั้งในด้านมาตรการป้องกัน และการวางแผนรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
4. การปรับกลยุทธ์การผลิตและการตลาด
ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการปรับกลยุทธ์การผลิตและการตลาด เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่อาจเพิ่มขึ้นในตลาดโลก หรือการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
5. การวางแผนนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหาร
รัฐบาลไทยสามารถใช้ข้อมูลนี้ประกอบการวางแผนนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหาร เช่น การสำรองอาหาร หรือการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า
6. การเรียนรู้จากมาตรการรับมือของสหรัฐ
ไทยสามารถเรียนรู้จากมาตรการที่สหรัฐใช้ในการรับมือกับการระบาดและผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
7. การประเมินความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน
ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถประเมินความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกได้ดีขึ้น โดยเฉพาะหากมีการนำเข้าวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์จากสหรัฐ
8. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี
สถานการณ์นี้อาจกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งไทยสามารถเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการผลิตจากการระบาดของโรคระบาดในสัตว์ เช่น ไข้หวัดนก
9. การเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุข
ข้อมูลเกี่ยวกับการพบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 รายแรกที่ไม่มีประวัติสัมผัสสัตว์ในสหรัฐ สามารถช่วยให้หน่วยงานสาธารณสุขของไทยเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน
10. การปรับตัวของผู้บริโภค
การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสถานการณ์นี้ อาจช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกันที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย
ดังนั้นข้อมูลราคาและสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ในสหรัฐอเมริกาจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประเทศไทยในการวางแผน เตรียมพร้อม และปรับตัวทั้งในระดับธุรกิจและระดับประเทศ เพื่อรับมือกับความท้าทายและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต