นักวิจัยจากศูนย์โรคสัตว์แห่งชาติสหรัฐฯ ได้ทำการทดลองกับวัวนมในห้องชีวนิรภัยระดับ 3 โดยวัวกลุ่มแรกถูกฉีดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกเข้าเต้านมวัว พบว่าวัวป่วยมากและขับเชื้อทางน้ำนมนานถึง 24 วัน กลุ่มที่สองให้ลูกวัวสูดละอองเชื้อไวรัส พบอาการเพียงเล็กน้อยแต่ตรวจพบเชื้อในทางเดินหายใจถึง 7 วัน ผลการศึกษาชี้ว่าเชื้อแพร่ทางน้ำนมได้ดีกว่าทางอากาศอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่าการติดเชื้อในฟาร์มวัวนมอุบัติขึ้นและระบาดอย่างรวดเร็ว อาจมาจากการกระทำของมนุษย์ (โดยไม่ได้ตั้งใจ) ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ กล่าวคือมาจากการปนเปื้อนผ่านอุปกรณ์รีดนมมากกว่าการแพร่ทางอากาศ
ในช่วงต้นปี 2567 วงการปศุสัตว์สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ที่เคยระบาดเฉพาะในสัตว์ปีก ได้แพร่กระจายสู่ฝูงวัวนมอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับเกษตรกรและผู้บริโภคทั่วประเทศ เพื่อทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ ทีมนักวิจัยนำโดย ดร. เอมี่ แอล. เบเกอร์ จากหน่วยวิจัยไวรัสและพริออน ศูนย์โรคสัตว์แห่งชาติ กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองจำลองการติดเชื้อในห้องปฏิบัติการ เพื่อไขปริศนาการแพร่ระบาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การทดลองแบ่งออกเป็นสองส่วน และจำเป็นต้องดำเนินการในห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 ของศูนย์โรคสัตว์แห่งชาติ เพราะไวรัสไข้หวัดนกเป็นเชื้อไวรัสที่มีการติดต่อร้ายแรง กลุ่มแรกคือการฉีดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 เข้าทางเต้านมของวัวนมที่กำลังให้นม เพื่อจำลองสถานการณ์ที่พบในฟาร์ม ผลปรากฏว่าวัวแสดงอาการป่วยชัดเจน เต้านมอักเสบ น้ำนมเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและข้นผิดปกติ ปริมาณน้ำนมลดลงอย่างมาก วัวมีอาการซึมและเบื่ออาหาร ที่น่าตกใจคือแม้อาการจะดีขึ้น แต่ยังตรวจพบเชื้อไวรัสในน้ำนมได้นานถึง 24 วัน ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมโรคไข้หวัดนกจึงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฟาร์ม และน่าจะติดต่อผ่านอุปกรณ์รีดนมวัวที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
กลุ่มที่สองทีมวิจัยได้ให้ลูกวัวสูดดมละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 เพื่อดูว่าการติดต่อทางอากาศเป็นไปได้หรือไม่ ผลพบว่าลูกวัวแทบไม่แสดงอาการป่วย มีเพียงน้ำมูกไหลเล็กน้อยเป็นครั้งคราว แต่กลับตรวจพบเชื้อในทางเดินหายใจได้นานถึง 7 วัน ซึ่งหมายความว่าการแพร่เชื้อทางอากาศก็เป็นไปได้ แม้จะไม่ชัดเจนเท่าทางน้ำนม
ดร. เบลีย์ อารูดา หัวหน้าทีมพยาธิวิทยา ได้ทำการศึกษาเนื้อเยื่อของวัวที่ติดเชื้อ พบว่ามีการอักเสบและเกิดพังผืดในเต้านม ซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิตน้ำนมในระยะยาว นอกจากนี้ ดร. ทาวิส เค. แอนเดอร์สัน และทีมได้วิเคราะห์การกลายพันธุ์ของไวรัส พบว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงการปรับตัวเข้ากับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างชัดเจน
บทเรียนสำคัญจากการทดลองนี้คือ การควบคุมโรคในฟาร์มโคนมต้องให้ความสำคัญกับการคัดกรองวัวที่ไม่แสดงอาการ ล้างฆ่าเชื้ออุปกรณ์รีดนม และระมัดระวังเป็นพิเศษในการเคลื่อนย้ายสัตว์ระหว่างฟาร์ม นอกจากนี้ยังต้องจัดการน้ำนมดิบจากวัวที่ติดเชื้ออย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่สัตว์ชนิดอื่นในฟาร์ม