5
650
0
0
0
ถอด 20 บทเรียนสำคัญที่ได้รับจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563-2566 เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำและอุบัติใหม่ในอนาคต
02-04-2024
02-04-2024
- ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
 
โครงการ “การศึกษาธรรมชาติของโควิด-19 ในเขตพื้นที่ความเสี่ยงสูงในประเทศไทย” โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ร่วมกับพันธมิตร ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโครงการเด่นในจำนวน 12 โครงการจากทั้งหมด 122 โครงการวิจัยในแผนงานวิจัยโควิด-19 เพื่อการประเมินจากผลลัพธ์และผลกระทบทางเศรษฐกิจของแผนงานวิจัยและนวัตกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้เงินทุนวิจัยจากภาษีประชาชนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กำกับดูแล
ทางศูนย์จีโนมฯจึงขอนำเสนอบทนำ และหัวข้อของทั้ง 20 บท เพื่อให้ภาคประชาชนได้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพของโรคโควิด-19 (covid-19 health literacy)
 
**บทนำ**
การระบาดใหญ่ไปทั่วโลก (Pandemic) ของโควิด-19 ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อยืนยัน 771,151,224 คน เสียชีวิต 6,960,783 คน (รายงานจากองค์การอนามัยโลก ณ วันที่ 26 กันยายน 2566) เปรียบได้กับคลื่นยักษ์สึนามิที่พุ่งเข้าหาฝั่ง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีของมนุษย์ที่สามารถยับยั้งคลื่นสึนามิเข้ากระทบฝั่งได้ เช่นเดียวกับการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อ เช่น โควิด-19 ที่เรายังไม่สามารถระงับการอุบัติขึ้น แต่เราสามารถลดความรุนแรงของการระบาดของโรคลงได้ เราอาจชะลอหรือถ่วงเวลาความรวดเร็วของการระบาดของโควิด-19 ลงได้เพื่อให้ระบบการรักษาผู้ติดเชื้อในสถานพยาบาลของประเทศมีจำนวนเตียงและอุปกรณ์สำคัญ เช่นถังออกซิเจนรองรับผู้ป่วยได้พอเพียง ทำให้ลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้เป็นจำนวนมาก
 
ประเทศไทยมีระบบการติดตามและจัดการภูมิทัศน์ทางระบาดวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อการป้องกัน และรักษา ประชาชน ที่ดีในระดับหนึ่ง สังเกตจากข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 4,754,228 คน เสียชีวิต 34,410 คน คิดเป็นร้อยละ 0.72 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ สามารถผลิตชุดตรวจ วัคซีน และยาต้านไวรัสขึ้นใช้ในประเทศและจัดจำหน่ายไปทั่วโลก
 
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566
• ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 4,754,228 คน เสียชีวิต 34,410 คน คิดเป็นร้อยละ 0.72
• ประเทศสเปน มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 13,980,340 คน เสียชีวิต 121,853 คน คิดเป็นร้อยละ 0.87
• ประเทศอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 24,641,596 คน เสียชีวิต 228,144 คน คิดเป็นร้อยละ 0.92
• ประเทศสหรัฐ อเมริกา มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 103,436,829 คน เสียชีวิต 1,127,152 คน คิดเป็นร้อยละ 1.08
• ประเทศอินเดีย มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยัน 44,994,995 คน เสียชีวิต 531,915 คน คิดเป็นร้อยละ 1.18
 
การชะลอ ถ่วง หรือซื้อเวลา (delay or buy time) สำหรับการระบาดของ COVID-19 นั้นเกี่ยวข้องกับการใช้มาตรการและกลยุทธ์การป้องกันต่าง ๆ เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไวรัสอันจะส่งผลให้สามารถลดจำนวนผู้ป่วยรุนแรงและเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่
 
 
• การใช้มาตรการด้านสาธารณสุข: เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และการส่งเสริมสุขอนามัยของมือ เช่นการล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง มาตรการเหล่านี้ช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสและชะลอการแพร่ระบาดภายในชุมชน
• การทดสอบและการติดตามผู้สัมผัส: เพิ่มขีดความสามารถในการทดสอบและติดตามผู้สัมผัสของผู้ติดเชื้อ อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบและการติดตามผู้สัมผัสอย่างทันท่วงทีช่วยระบุและแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 ป้องกันการแพร่เชื้อเพิ่มเติมและซื้อเวลาในการดำเนินการแทรกแซงอื่นๆ
• แคมเปญการฉีดวัคซีน: เร่งความพยายามในการฉีดวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมประชากรโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเด็กเล็ก การฉีดวัคซีนมีบทบาทสำคัญในการลดการเจ็บป่วยที่รุนแรง การรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต การให้วัคซีนแก่คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะช่วยลดผลกระทบของการระบาดอย่างมีนัยสำคัญ และสามารถซื้อเวลาเพื่อควบคุมการแพร่กระจายได้
• การจำกัดการเดินทางและการควบคุมชายแดน: ใช้มาตรการจำกัดการเดินทางและการควบคุมชายแดนเพื่อจำกัดการเข้ามาของไวรัสจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง มาตรการเหล่านี้ช่วยชะลอการเกิดผู้ป่วยรายใหม่และซื้อเวลาในการเสริมสร้างความพร้อมและการตอบสนองของระบบการรักษาพยาบาลในท้องถิ่น
• การเผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนให้เกิดการตระหนักรู้ด้านสาธารณสุขที่ถูกต้องในการป้องกัน ดูแล และรักษาโรคโควิด-19 (COVID-19 health literacy) : สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันแก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับโควิด-19 การแพร่เชื้อ และมาตรการป้องกัน ส่งเสริมการรับรู้และการศึกษาของชุมชนเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุขอันสามารถชะลอการระบาดของโรคได้อย่างมาก
• เสริมสร้างศักยภาพของระบบสุขภาพทั้งระบบ เช่นการเพิ่มห้องความดันลบในโรงพยาบาล เพิ่มศูนย์ตรวจ PCR จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่นถังออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยโควิดให้พอเพียง ลงทุนปรับปรุงทั้งปริมาณและคุณภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ที่จะระบาดในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเกิดถี่ขึ้นสิ่งนี้ช่วยให้สามารถจัดการโรคระบาดได้ดีขึ้น ลดความตึงเครียดในสถานพยาบาล และมีเวลามากขึ้นในการตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
• การวิจัยและพัฒนา: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยด้วยตนเองหรือผ่านห้องปฏิบัติการ การผลิตวัคซีนให้ได้ภายในประเทศเพื่อการป้องกัน ทดสอบสมุนไพร ยาต้านไวรัส พลาสมารักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 (CCP) และแอนติบอดีสำเร็จรูป เพื่อการรักษา การลงทุนในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สามารถช่วยเร่งปรับปรุงผลลัพธ์ในการป้องกันและรักษาผู้ป่วยและสามารถซื้อเวลาในการควบคุมการระบาดโควิด-19
• การสนับสนุนทางสังคมและเศรษฐกิจ: ให้การสนับสนุนบุคคลและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด มาตรการต่าง ๆ เช่น ความช่วยเหลือทางการเงิน การคุ้มครองงาน และเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและช่วยให้บุคคลสามารถปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขโดยไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากที่เกินควร
การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ร่วมกันและปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุขในชุมชนจะสามารถชะลอหรือซื้อเวลาสำหรับการระบาดของโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ได้อย่างมีนัยสำคัญ แนวทางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันระบบการรักษาพยาบาลไม่ให้ล้มเหลว ลดภาระการเจ็บป่วยที่รุนแรง และช่วยชีวิตประชากรได้อย่างมาก
 
 
โดยการดำเนินการเหล่านี้จะช่วยลดผลกระทบของโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และช่วยให้ระบบสาธารณสุขสามารถรับมือกับการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความพร้อมในด้านต่างๆ
 
**20 บทเรียนสำคัญ**
บทที่1 การระบาดของเชื้อไวรัสและจุลชีพที่มีผลกระทบทั่วโลก (Pandemic) ระยะหลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุก 3-7 ปี
บทที่2 ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพและโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนโดยตรง (Covid Health Literacy)
บทที่3 มาตรการป้องกันและควบคุมโรคที่ไม่ได้ใช้ยาหรือวัคซีน (non-pharmaceutical interventions: NPIs)
บทที่4 การจ่ายคืนหนี้ภูมิคุ้มกัน(immunity debt) หรือการแก้ไขช่องโหว่ในภูมิคุ้มกัน(immunity gap) หลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19
บทที่5 ลดผลของความทรงจำภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม (Immune imprinting) โดยการติดเชื้อธรรมชาติหรือการฉีดวัคซีนโควิดสายพันธุ์ล่าสุด
บทที่6 การสืบสวนและค้นหาไวรัสที่โลกยังไม่รู้จัก(Exotic virus hunting)
บทที่7 โรคเอ็กซ์" คือโรคที่ WHO ใช้อ้างอิงโรคติดเชื้อที่ยังไม่รู้จักแต่มีศักยภาพก่อโรคระบาดร้ายแรงในอนาคต
บทที่8 เร่งการฝึกอบรมและสรรหาบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มเติม
บทที่9 ส่งเสริมการจัดสรรงบประมาณสำหรับสถาบันที่มีหน้าที่ป้องกันและควบคุมโรคในทั่วประเทศ
บทที่10 ควบรวม 3 แพลตฟอร์ม 'ระบบบริการสุขภาพทางไกล (Telehealth)' , 'ระบบบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)' และ 'เครื่องมือทดสอบที่จุดดูแลผู้ป่วย (Point-of-care testing: POCT)' เข้าด้วยกันเพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
บทที่11 สถาปนาหน่วยงานแห่งชาติเพื่อเก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจอย่างต่อเนื่อง เช่น ตัวอย่างสายพันธุ์เชื้อโควิด-19 และตัวอย่างเลือด (National COVID-19 Biobank)
บทที่12 เสริมสร้างความสามารถในการผลิตชุดอุปกรณ์คุ้มครองส่วนบุคคล (PPE) ในประเทศ พร้อมขยายจำนวนห้อง ICU ความดันลบ และเตรียมความพร้อมสำหรับโรงพยาบาลสนาม
บทที่13 สถาปนาหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบจีโนมของจุลชีพและไวรัสจากน้ำเสียในชุมชน (City-wide wastewater genomic surveillance) เพื่อระบุประเภทของเชื้อโรคที่มีอยู่ในชุมชนก่อนที่จะมีการระบาดของโรค
บทที่14 ดำเนินการตรวจสอบและถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมของจุลชีพและไวรัสจากผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามและสำรวจการกลายพันธุ์ที่อาจนำไปสู่การเกิดโรครุนแรง(Variants and Genomic Surveillance for pathogens)
บทที่15 ถอดบทเรียนจากรหัสพันธุกรรมมนุษย์ที่ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อโรคโควิด-19 (genetic predisposition to COVID-19) อันหมายถึง การศึกษาพันธุกรรมมนุษย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ความรุนแรงของโรค และอาการลองโควิด (ร่วมไปกับการศึกษาพันธุกรรมของไวรัสโคโรนา 2019)
บทที่16 ถอดบทเรียนคลินิกในด้านการป้องกันและรักษาโควิด-19 ในระดับโรงพยาบาลชุมชนโดยอายุรแพทย์จากโรงพยาบาลประชาธิปัตย์
บทที่17 สรุปผลการติดตามการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวกับเซลล์ (CMIR) จากอาสาสมัครในโครงการฯ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในประเทศและทั่วโลกในช่วง 4 ปีของการระบาดของโควิด-19
บทที่18 สรุปผลการติดตามการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวกับแอนติบอดี (HMIR) จากอาสาสมัครในโครงการฯ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในประเทศและทั่วโลกในช่วง 4 ปีของการระบาดของโควิด-19"
บทที่19 กำหนดมาตรการควบคุมตลาดสดและการค้าสัตว์ป่าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรคอุบัติใหม่ในชุมชน
บทที่20 ปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดสรรทุนสนับสนุนและการอนุมัติการวิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรม โดยใช้บทเรียนที่ได้รับจากช่วงการระบาดของโควิด-19 เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ในการดำเนินการ
 
**รายละเอียดของทั้ง 20 บท จำนวน 259 หน้า ทางศูนย์จีโนมฯจะได้ติดต่อทางสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนวิจัยเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบในโอกาสต่อไป**
**การตระหนักรู้ในเรื่องโควิด-19 จึงมีความสำคัญมากในการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม และการส่งเสริมการสื่อสารทางสาธารณสุข**

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีได้ดำเนินการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคโควิด-19 โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเช่นเฟซบุ๊กและยูทูบเพื่อสื่อสารตรงถึงประชาชน โดยจะใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่เป็นข้อมูลที่ถูกต้องและปราศจากอคติเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ให้กับประชาชน โดยไม่มีการกำหนดหรือบังคับด้วยมาตรการของภาครัฐ แต่เน้นให้ประชาชนเข้าใจและตัดสินใจด้วยตนเองในการปฏิบัติตามมาตรการเช่นการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ รักษาระยะห่างทางสังคม แยกตัวเมื่อมีอาการเสี่ยง รับวัคซีนครบจำนวนที่กำหนด ฯลฯ โดยใช้การวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2 genomic surveillance and data sharing) เป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” โนมน้าวให้ประชาชนมีความสนใจต่อเรื่องนี้อย่างมากโดยไม่ต้องบังคับในระหว่างช่วงการระบาดในระยะ 2563-ปัจจุบัน ศูนย์จีโนมได้โพสต์บทความมากกว่า 1,100 บทความบนเฟซบุ๊ก โดยมีสื่อโทรทัศน์และวิทยุได้ใช้เนื้อหาจากบทความเหล่านั้นจัดทำคลิปวิดีโอสัมภาษณ์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโควิด-19 ผ่านทางช่องทางเฟซบุ๊ก ยูทูบ และทวิตเตอร์ ซึ่งมีผู้ชมมากกว่า 10 ล้านวิว สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กของศูนย์จีโนม (https://www.facebook.com/CMGrama/) ที่มีผู้ติดตามเกือบ 10,000 คน
โดยเข้าสู่สารบัญของบทความทั้งหมดผ่านทางลิงก์ https://bit.ly/COVID2020-present ซึ่งจะมีลิงค์ให้กดเข้าสู่แต่ละบทความ หากสนใจจะสืบค้นข้อมูลโควิด-19 สายพันธุ์ใดหรือแง่มุมอื่นใดเป็นการเฉพาะ กดปุ่มลัด "Ctrl + f" จะขึ้นช่องค้นหามาให้ หลังจากนั้นให้ใส่ข้อความที่ต้องการหาลงไป กด Enter การค้นหาของคุณจะง่ายยิ่งขึ้น

**หมายเหตุ หน่วยงานที่เข้าร่วมในโครงการ “การศึกษาธรรมชาติของโควิด-19 ในเขตพื้นที่ความเสี่ยงสูงในประเทศไทย” คือ
1. ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2. สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
3. ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
4. ศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการถ่วงดุลทางอิมมูโนโลยี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
5. ศูนย์เร่งรัดวิจัยและนวัตกรรมเอกชน เครือโรงพยาบาลพญาไทและเครือโรงพยาบาลเปาโล
6. สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4
7. โรงพยาบาลประชาธิปัตย์ จ. ปทุมธานี
8. โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร
ชื่อผู้เผยแพร่
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - 02-04-2024
แสดงความคิดเห็น