1
10
0
0
0
พลิกวงการสาธารณสุขไทย: เมื่อรัฐลงทุน 1 บาทใน NIPT สร้างผลตอบแทน 5.7 บาท และปั้นไทยสู่ฮับเทคโนโลยีการแพทย์
23-07-2025
23-07-2025
- ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
 
ในห้องตรวจครรภ์ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ความหวังและความกังวลฉายชัดในแววตาของว่าที่คุณแม่ การตัดสินใจว่าจะตรวจคัดกรองความผิดปกติของลูกน้อยในครรภ์หรือไม่และด้วยวิธีใด เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด แต่ในอดีต ทางเลือกอาจจำกัดอยู่ระหว่างการตรวจที่ราคาไม่แพงแต่แม่นยำน้อย กับการตรวจที่แม่นยำสูงแต่มีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาท ซึ่งไกลเกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่
วันนี้ ภาพนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ด้วยนโยบายครั้งประวัติศาสตร์ของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ได้ผนวกการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางโครโมโซมของทารกในครรภ์ด้วยวิธี NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) สำหรับกลุ่มอาการดาวน์ (Trisomy 21), เอ็ดเวิร์ดซินโดรม (Trisomy 18), และพาทัวซินโดรม (Trisomy 13) เข้าเป็นสิทธิประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ชาวไทยทุกสิทธิ ปีละกว่า 400,000 คน
นโยบายนี้ไม่ได้เป็นเพียงการยกระดับสวัสดิการ แต่คือจุดเปลี่ยนที่สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวกในทุกมิติ ตั้งแต่คุณภาพชีวิตของคนหนึ่งคน ไปจนถึงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ
_________________________
ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า: เมื่อการลงทุน 1 บาท สร้างผลตอบแทน 5.7 บาท
_________________________
หลายคนอาจตั้งคำถามถึงงบประมาณที่รัฐต้องลงทุนราว 1,080 ล้านบาทต่อปี สำหรับการตรวจ 400,000 ราย แต่จากการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขโดยผู้เชี่ยวชาญอย่าง โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนและน่าทึ่ง
หัวใจของความคุ้มค่าคือ "ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้" (Averted Cost) ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า ทุกๆ 1 บาทที่รัฐลงทุน จะสามารถสร้างผลประโยชน์กลับคืนสู่สังคมและระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า 5.7 บาท โดยผลประโยชน์นี้มาจาก:
• การประหยัดค่าดูแลระยะยาว: สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยจากภาวะผิดปกติทางโครโมโซมได้ถึง 6,080 ล้านบาทต่อปี
• การประหยัดค่าตรวจวินิจฉัย: ช่วยลดการเจาะน้ำคร่ำที่ไม่จำเป็น ประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้อีก 106 ล้านบาทต่อปี
เมื่อรวมผลประโยชน์ทั้งสองส่วน จะคิดเป็นมูลค่าที่ประเทศประหยัดได้ทั้งหมด 6,186 ล้านบาทต่อปี และเมื่อหักลบกับต้นทุนโครงการแล้ว ยังคงเหลือ ผลประโยชน์สุทธิสูงถึง 5,106 ล้านบาทต่อปี
ตัวเลขนี้พิสูจน์ว่า นโยบาย NIPT ไม่ใช่ "ค่าใช้จ่าย" ที่สูญเปล่า แต่คือ "การลงทุน" ที่ให้ผลตอบแทนกลับคืนสู่สังคมอย่างมหาศาล ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเจาะน้ำคร่ำโดยไม่จำเป็น และทำให้หญิงตั้งครรภ์เข้าถึงเทคโนโลยีที่แม่นยำและปลอดภัยได้อย่างเท่าเทียม
_________________________
ขุมทรัพย์ข้อมูลเพื่ออนาคตสาธารณสุขไทย (Big Data for Public Health)
_________________________
นอกเหนือจากผลตอบแทนทางการเงินที่จับต้องได้ การตรวจ NIPT ในระดับประชากรจำนวน 400,000 รายต่อปี ยังก่อให้เกิด "ขุมทรัพย์ข้อมูล (Data Asset)" ด้านสาธารณสุขที่มีค่ามหาศาล ข้อมูลการตรวจคัดกรองจากทั่วประเทศจะทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เกี่ยวกับความผิดปกติทางโครโมโซมเป็นครั้งแรก ภาครัฐสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์เพื่อ:
• ทำความเข้าใจความชุกของโรค: ทราบถึงอุบัติการณ์และความชุก (Prevalence) ของกลุ่มอาการดาวน์, เอ็ดเวิร์ด, และพาทัวในแต่ละพื้นที่ของประเทศได้อย่างแม่นยำ
• วางแผนเชิงยุทธศาสตร์: ใช้ข้อมูลเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการวางแผนจัดสรรทรัพยากรด้านการควบคุม, ป้องกัน, ดูแล, และรักษาโรคทางพันธุกรรมได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• ส่งเสริมการวิจัย: เป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับนักวิจัยในการศึกษาปัจจัยเสี่ยงและพัฒนานวัตกรรมการดูแลรักษาใหม่ๆ ต่อไป
_________________________
ความท้าทายและก้าวที่รอบคอบ: นโยบายที่สมดุลระหว่างเทคโนโลยีและจริยธรรม
_________________________
แม้จะเป็นนโยบายที่ก้าวหน้า แต่ สปสช. ก็เลือกเดินอย่างรอบคอบโดยยังไม่รวมการตรวจความผิดปกติของโครโมโซมเพศ (SCA) ไว้ในชุดสิทธิประโยชน์ เหตุผลหลักคือ ภาวะ SCA มีความรุนแรงของโรคที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงมีผลกระทบต่อพัฒนาการ ซึ่งทำให้การให้คำปรึกษาทางพันธุศาสตร์มีความซับซ้อนสูง และอาจสร้างความวิตกกังวลเกินจำเป็นให้แก่พ่อแม่ การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในมิติทางจริยธรรมและสังคม ควบคู่ไปกับความท้าทายด้านบุคลากร โดยเฉพาะ "นักให้คำปรึกษาทางพันธุศาสตร์" ซึ่งยังคงเป็นบุคลากรที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อรองรับการขยายตัวของเทคโนโลยีจีโนมิกส์ในอนาคต
การตัดสินใจที่แยกประเด็นการคัดกรองโรคที่รุนแรงออกจากการแจ้งข้อมูลเพศนั้น ยิ่งดูสมเหตุสมผลมากขึ้นเมื่อพิจารณาถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด ที่ชี้ให้เห็นว่าเพศของลูกอาจไม่ใช่เรื่องของการสุ่มแบบ 50/50 เหมือนการโยนเหรียญ
งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances (ก.ค. 2568) พบว่าแต่ละครอบครัวอาจมีแนวโน้มทางชีวภาพที่จะมีลูกชายหรือลูกสาวมากกว่ากัน โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากฝั่งแม่ ทั้งสรีรวิทยาและพันธุกรรม (เช่น ยีน NSUN6 และ TSHZ1) ซึ่งทำให้ความน่าจะเป็นเบี่ยงเบนไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ความเข้าใจใหม่นี้ช่วยตอกย้ำว่าการให้ข้อมูลเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และการที่นโยบายมุ่งเน้นไปที่การคัดกรองโรคถือเป็นการวางแนวทางที่เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาเชิงจริยธรรมและการเลือกปฏิบัติที่อาจเกิดขึ้น เพราะในมุมมองของการวางแผนประชากรระดับประเทศ เราคงไม่อยากเห็นพื้นที่ใดของประเทศไทยมีอัตราส่วนของเพศใดเพศหนึ่งสูงกว่าอีกเพศหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคมในระยะยาวได้
_________________________
โอกาสต่อยอด: จากผู้ซื้อเทคโนโลยี สู่ฐานการผลิตและส่งออก
_________________________
เมื่อมองผ่านเลนส์ของนโยบายที่รอบคอบและวิทยาศาสตร์ที่ลึกซึ้งแล้ว ศักยภาพที่แท้จริงของโครงการ NIPT นี้ยังขยายไปสู่มิติทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ชาติ คือการเป็น "ตัวจุดประกาย" โอกาสที่จะพลิกโฉมประเทศไทย จากประเทศผู้นำเข้าเทคโนโลยีการแพทย์ราคาแพง ไปสู่การเป็นฐานการผลิตและส่งออก
โดยยุทธศาสตร์สำคัญคือการวางตำแหน่งให้ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Global Supply Chain) โลก ในจุดที่มีความเชี่ยวชาญและสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง ซึ่งประกอบด้วย:
การผลิตชุดตรวจและน้ำยา (Reagents/Kits):
มุ่งเน้นการผลิตแบบ low-cost ภายในประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจของต้นทุนการตรวจ NIPT ที่สามารถควบคุมและลดได้จริง อีกทั้งอุปสรรคด้านสิทธิบัตรสำหรับการผลิตน้ำยาในบางเทคโนโลยีเริ่มลดลง และมีแนวโน้มที่จะมี open-license หรือ alternate protocols ที่สามารถพัฒนาเองได้
การพัฒนาซอฟต์แวร์ชีวสารสนเทศ (Bioinformatics Software):
ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาโปรแกรมวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล NIPT ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และที่สำคัญคือข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรในส่วนนี้มีน้อยกว่าด้านฮาร์ดแวร์ ทำให้สามารถพัฒนาและขยายผลได้รวดเร็วและยืดหยุ่นกว่า
ในขณะที่เครื่องตรวจวิเคราะห์ลำดับเบส (NGS Sequencer) เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อน มีต้นทุนการวิจัยและสิทธิบัตรที่สูง การจัดซื้อจากผู้ผลิตระดับโลกยังคงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเหมาะสมในระยะกลาง
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลสร้าง “ตลาดภายในประเทศที่แน่นอน” ด้วยขนาดกว่า 400,000 ชุดตรวจต่อปี ถือเป็นแม่เหล็กทรงพลังที่ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิต “ชุดตรวจ” ในประเทศไทย
และภาพอนาคตนี้ไม่ได้อยู่แค่บนกระดาษ — แต่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในเชิงรูปธรรม โดย ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ใช้บทบาทผู้เชี่ยวชาญด้านจีโนมิกส์ เริ่มต้นการหารือกับภาคเอกชนต่างชาติ เพื่อร่วมลงทุนในสายการผลิตน้ำยาและซอฟต์แวร์ชีวสารสนเทศ ซึ่งจะเป็นจุดตั้งต้นสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพไทยในศตวรรษที่ 21
_________________________
หากทำได้สำเร็จ จะเกิดประโยชน์มหาศาลตามมา:
_________________________
• ต้นทุนที่ถูกลง: การผลิตในประเทศจะทำให้ราคาชุดตรวจ NIPT ถูกลงอีก สร้างความยั่งยืนทางการคลัง
• เศรษฐกิจ BCG เติบโต: เกิดการจ้างงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมการแพทย์และดิจิทัล
• สู่การเป็น Medical Hub: ปั้นไทยให้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกชุดตรวจและซอฟต์แวร์ NIPT ไปทั่วอาเซียนและตลาดโลก
• ความมั่นคงทางสาธารณสุข: ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสร้างความมั่นคงด้านเครื่องมือแพทย์ให้แก่คนไทย
นโยบายตรวจ NIPT ถ้วนหน้าจึงเป็นมากกว่าสวัสดิการ แต่เป็นตัวอย่างอันทรงพลังของการวางนโยบายสาธารณะที่มองการณ์ไกล ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ และในขณะเดียวกันก็วางรากฐานอันแข็งแกร่งให้อนาคตของประเทศบนเวทีโลกได้อย่างน่าชื่นชม
ชื่อผู้เผยแพร่
อังคณา เจริญยิ่งวัฒนา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - 23-07-2025
แสดงความคิดเห็น