ข่าวองค์กรบริหารการพยาบาล (ดูทั้งหมด) |
เรื่องเล่านี้ได้รับการอนุญาตจาก โดยผ่านการเล่าเรื่องของ คุณอรณีย์ ศรีสุข พยาบาลประจำหน่วยบริการพยาบาลผู้ป่วยที่บ้าน |
แปะ แปะ เสียงหยดน้ำที่ทะลุผ่านสังกะสี ร่วงลงมากระทบกระถังน้ำใบเก่าที่วางบนพื้นบ้าน ภาพแม่และพี่ๆต่างกุลีกุจอ ใช้ผ้าเช็ดพื้นไม้ ที่แต่เดิมเคยเป็นที่กินที่นอนของพวกเรา เป็นภาพที่ผมเห็นจนชินตามาตั้งแต่วัยเด็ก
บ้านของเรามีฐานะยากจน พ่อมีอาชีพขับรถรับจ้างทั่วไป ส่วนแม่เป็นแม่บ้านดูแลลูกๆ ชีวิตของพวกเราอดมื้อกินมื้อ แต่ก็มีความสุข จนกระทั่งพายุแห่งชะตากรรมโหมพัดใส่ครอบครัวของผม
ตอนนั้นผมจำได้ว่า ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แม่มีอาการปวดขาเดินไม่ไหว แขนและเท้าซ้ายเริ่มชาจนไม่สามารถหยิบจับอะไรได้ ผมถามพ่อว่า “ พ่อครับเราพาแม่ไปหาหมอเถอะ”
“.........”พ่อได้แต่ยิ้มเจื่อนๆที่มุมปากแล้วเอามือมาลูบที่หัวของผม แทนคำตอบ หลังจากนั้นไม่นาน พ่อก็กลายเป็นมือและเท้าแทนแม่ตลอดมา
พอผมเริ่มเป็นหนุ่ม ผมก็ทำทุกอย่างให้แม่แทนพ่อที่อายุมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตเที่ยวสนุกเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันแต่ผมก็ยินดีและเต็มใจทำให้แม่ การดูแลต่างๆล้วนทำตามที่เคยเห็นพ่อทำให้กับแม่โดยไม่มีหลักการและเหตุผลใดๆ
จนมีแพทย์อาสาเข้ามาดูแลผู้ป่วยในชุมชน แพทย์แนะนำให้ผมพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีตามสิทธิประกันสุขภาพ ทำให้ผมทราบว่าแม่ของผมป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานโรคไขมันในเลือดสูง โชคดีของผมที่มีคุณพยาบาลคอยแนะนำการดูแลแม่ ตั้งแต่อาหารการกิน กายภาพบำบัด และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตั้งแต่นั้นมาผมทำตามที่แพทย์และพยาบาลแนะนำผมพาแม่ไปพบแพทย์ตามนัดไม่เคยขาด
ความเหนื่อยของผมเริ่มมากยิ่งขึ้น ในตอนที่พ่อเสียชีวิต ตอนนั้นผมอายุได้28ปี เป็นช่วงวัยทำงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้ชีวิตมั่นคง พี่ๆไม่สะดวกในการมาช่วยดูแลได้เพียงแต่ส่งเงินมาช่วยเป็นบางครั้ง ผมจึงกลายมาเป็นคนดูแลแม่อย่างเต็มตัว ความเครียดเริ่มแทรกซึมทุกอณูความคิด ความวิตกกังวลเริ่มเกาะกุมหัวใจ แต่พอหันมาเห็นหน้าแม่สติของผมก็กลับคืนมา “ผมต้องดูแลแม่ให้ดีที่สุด” ผมให้สัญญากับตัวเอง
ผมเริ่มจากการปรับพื้นที่ภายในบ้าน จัดของใช้ให้สะดวกในการดูแล และปรับนาฬิกาชีวิตของตนเอง ผมต้องตื่นตั้งแต่สี่มาอาบน้ำเช็ดตัว เตรียมอาหาร ป้อนข้าว ป้อนยา ดูแลทุกอย่างให้พร้อม ก่อนไปทำงาน จะได้ไม่ลำบาก อสม.หรือญาติที่พอจะมีเวลามาช่วยดูแล หลังเลิกงานก็ต้องรีบกลับบ้านมาดูแลแม่ ทำอย่างนี้ทุกวันพอนานเข้าเงินที่ได้มาก็ไม่พอเลี้ยงผมกับแม่
ผมจึงต้องเปลี่ยนงานใหม่ เป็นพนักงานขายสิ้นค้าที่ห้างชื่อดังแห่งหนึ่ง ถึงแม้เงินเดือนที่ได้จะพอเลี้ยงดูตัวผมและแม่แต่ก็ไม่เคยที่จะเหลือเก็บเลยเพราะยิ่งเวลาผ่านไป แม่ผมก็จำเป็นที่ต้องใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ซึ่งมีราคาแพงพอสมควรและใช้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวผมพอเปลี่ยนที่ทำงานก็ยิ่งมีเวลาให้แม่น้อยลง เพราะการทำงานห้างนั้นห้ามหยุดมาก เข้าออกงานเป็นเวลา จึงต้องจ้างเพื่อนบ้านให้มาช่วยดูแลแม่
ตอนนี้แม่ของผมอาการไม่ค่อยดีนัก จากที่เคยพอทานได้ทางปากตอนนี้กลับต้องให้อาหารทางสาย เสมหะที่เคยไอสวนออกได้เองตอนนี้ต้องใช้เครื่องดูดเสมหะดูดเพื่อให้แม่หายใจได้ดีขึ้น ปัสสาวะที่เคยใส่ผ้าอ้อมกลับกลายเป็นต้องใส่สายปัสสาวะคาไว้ แผลกดทับไม่เคยปราณีต่อส่วนต่างๆของร่างกาย สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมดูแลแม่หนักมากขึ้นถือเป็นเรื่องใหม่ที่ผมต้องเรียนรู้
โชคดีของผมที่มีพยาบาลเยี่ยมบ้านของโรงพยาบาลรามาธิบดีค่อยช่วยเหลือ คอยสอนและแนะนำการดูแลร่วมถึงหาใช่อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นมาให้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายของผมไปได้บ้าง เพราะถึงแม้แม่จะมีสิทธิประกันสุขภาพ แต่ก็ยังมีค่าจ่ายส่วนเกินที่เบิกไม่ได้ รวมถึงค่าอุปกรณ์ทำแผล ฉีดยาค่าอาหารปั่น ค่าจ้างเพื่อนบ้านที่ให้มาดูแม่ตอนผมไปทำงาน
จนวันหนึ่งคุณพยาบาลเดินนำเอกสารเกี่ยวกับสุดยอด Caregiver มาให้ผมอ่าน ผมรู้สึกดีใจและถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ถ่ายทอดเรื่องราวของผมให้เป็นกำลังใจแก่ผู้ดูแลทุกท่านให้เข้มแข็ง สู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป
ทุกวันนี้ผมมองหน้าแม่กุมมือและบอกรักท่าน ผมไม่รู้ว่าแม่จะเข้าใจและรับรู้ในสิ่งที่ผมทำหรือไม่แต่ผมรู้สึกมีความสุขในทุกๆวันที่ได้ตอบแทนพระคุณของแม่ “ผมรักแม่ครับ”
บทความน่ารู้ (ดูทั้งหมด) |