ปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากที่สุด ไม่ว่าจะปวดแบบรุนแรงหรือปวดเพียงเล็กน้อยหรือปวดมากที่สุดแบบทุรนทุราย ในบางครั้งอาการปวดศีรษะไม่ว่าจะมีอาการปวดรุนแรงมากน้อยเพียงใดก็ตาม ต่างก็อาจเป็นสาเหตุที่อาจจะรุนแรงและมีอันตรายได้ในอนาคต
สาเหตุของการปวดศีรษะนั้น มีได้หลากหลายประการเริ่มต้นตั้งแต่
- มีความผิดปกติ ในเนื้อสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดในสมองโป่งพอง
- มีความผิดปกติ นอกเนื้อสมอง เช่น โพรงจมูกอักเสบ, หูอักเสบ, สายตาผิดปกติ
- มีความตึงเครียดทางอารมณ์
ส่วนการรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของการปวด อาการปวดศีรษะที่พบบ่อยและควรทราบเพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ
ปวดศีรษะข้างเดียวอย่างการปวดไมเกรน (Headaches, Migraine) ที่จะมีลักษณะเฉพาะคือปวดศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรง มักจะเริ่มปวดรอบ ๆ ลูกตาก่อน (ส่วนน้อยปวดทั้งสองข้างพร้อมกัน) ลักษณะการปวดจะปวดตุบ ๆ แปลบ ๆ เป็นระยะ ๆ
ก่อนเกิดอาการปวดจะมีอาการนำมาก่อนประมาณ 10 – 30 นาที เช่น คลื่นไส้ อาเจียน งุนงง วิงเวียน เห็นภาพซ้อน ตาไวต่อแสง พูดลำบาก (บางครั้งการอาเจียนทำให้อาการปวดศีรษะดีขึ้น)
สาเหตุการปวดศีรษะแบบไมเกรนนั้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน
แต่มีการศึกษาพบว่าเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของเส้นเลือดที่บริเวณหนังศีรษะ ทำให้มีการหดตัวและขยายตัวของเส้นเลือดบริเวณดังกล่าว จึงเกิดอาการปวดศีรษะขึ้น และพบว่า 70 % ของผู้ที่ปวดศีรษะไมเกรนเป็นผู้หญิง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนและการมีประจำเดือน หรือปัจจัยอื่น ๆ กรรมพันธุ์ก็มีความสำคัญมาก การมีประวัติปวดศีรษะในครอบครัว อาหารที่มีสารปรุงแต่งของผงชูรส สารกันบูด อาหารรมควัน ตับไก่ พืชตระกูลส้ม มะนาว ช็อคโกแลต เนยแข็ง ไวน์แดง กลิ่นคาว ๆ แสงจ้า ๆ และเสียงดัง เป็นต้น
ดังนั้นวันนี้เราจึงมีวิธีการหลีกเลี่ยงอาการปวดหัวไมเกรนมานำเสนอกัน ดังนี้
- สังเกตเรื่องอาหาร สิ่งแวดล้อม และอารมณ์ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว
- เรียนรู้การจัดการความโกรธ และความเครียด
- เรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลายที่จะช่วยขจัดความรุนแรงของการปวดหัว
- กำหนดการรับประทานอาหาร การนอน การออกกำลังกายให้เหมาะสม (เพื่อเกิดความสมดุลของร่างกาย)
- หากปวดนานจนผิดปกติ ๆ ควรไปพบแพทย์
ข้อมูลจาก
คุณสราญจิตต์ กาญจนาภา
หน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพแผนกป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
โทร.02-201 – 1131
ภาควิชาพยาบาลศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธิบดี