ความผิดปกติทางการพูด เรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ
หน้าแรก
ความผิดปกติทางการพูด เรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ
ความผิดปกติทางการพูด เรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ

การสื่อสารมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก

การสื่อสารไม่ได้หมายถึงการพูดอย่างเดียว แต่รวมถึงท่าทาง การมองหน้ากัน การแสดงสีหน้ากับผู้พูดด้วย ดังนั้น การสื่อสารจึงเป็นเรื่องจำเป็นมากโดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ เขาจะใช้การสื่อสารเพื่อบอกเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเขา เช่น เวลาหิวนม เวลาที่ไม่ชอบอะไรแล้วเขาปฏิเสธได้

ยิ่งสำคัญมากขึ้นในวัยที่เขาต้องเข้าโรงเรียน เพราะต้องออกจากพ่อแม่ ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย  เด็กที่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารหรือการพูด จะมีความยากลำบากในการนำภาษาไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เขาจะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้ช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกัน เวลาที่เล่นกับเพื่อนที่โรงเรียน อาจจะไม่เข้าใจเพื่อน พอไม่เข้าใจเพื่อนมาก ๆ ทะเลาะกับเพื่อนมาก ๆ ก็จะไม่อยากเล่นกับเพื่อน ทำให้เขาขาดโอกาสในการพัฒนาด้านการนำภาษาไปใช้ในสังคม  ถ้าเด็กมีปัญหาเสียงพูดไม่ชัด จะทำให้เขาขาดความมั่นใจในการสื่อสาร เพราะเวลาพูดออกไปแล้วเพื่อนล้อ คนอื่นล้อ ก็จะทำให้เขาขาดโอกาสในการพัฒนาการสื่อสารกับสังคมต่อไป

ลักษณะของความผิดปกติของการสื่อสาร

ความผิดปกติของการสื่อสารสามารถสังเกตได้ตั้งแต่ก่อนอายุ 1 ปี ความผิดปกติของการสื่อสารมีได้หลายประเภท เช่น

  1. ความผิดปกติของภาษาที่ล่าช้ากว่าวัย ซึ่งหมายถึงล่าช้าด้านความเข้าใจภาษา และการใช้ภาษากับผู้อื่น
  2. การพูดไม่ชัด พูดติดอ่าง ใช้เสียงผิดปกติ
  3. ความผิดปกติของการสื่อสารที่มาจากปัญหาการได้ยิน จะทำให้เด็กมีข้อจำกัดในการฟัง และใช้การสื่อสารที่ได้ไม่เท่าเพื่อนในวัยเดียวกัน

ความผิดปกติอาจเกิดขึ้นหลังจากเด็กอายุ 1 ปีเพราะเด็กอาจจะถูกพัฒนามาอย่างที่ไม่สมบูรณ์มากพอ ผู้ปกครองอาจจะไม่ได้กระตุ้นมากพอ หรือปล่อยให้เขาเล่นคนเดียวมากเกินไป หรืออยู่กับพวกหน้าจอสื่อต่าง ๆ มากเกินไป ทำให้เขาขาดโอกาสในการพัฒนา และมีพัฒนาการช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกัน

สาเหตุของความผิดปกติ

สาเหตุมีหลายอย่าง ครอบครัวมีประวัติพูดช้าหรือพูดไม่ชัด ก็จะมีแนวโน้มว่าเด็กก็จะพูดช้าหรือพูดไม่ชัดด้วย รวมถึงเด็กที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง เด็กที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน เช่น มีปัญหาหูน้ำหนวก สูญเสียการได้ยินตั้งแต่แรกเกิดหรือถดถอยในภายหลังได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องบุคลิกภาพของตัวเด็กเอง บางคนเป็นเด็กขี้อาย รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการขาดการกระตุ้น เด็กอาจจะขาดแรงจูงใจในการสื่อสารเพราะว่าไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ หรือการขาดการกระตุ้นจากการที่ผู้ปกครองไม่ตอบสนองในตอนที่เด็กกำลังสื่อสารอยู่ หรือเด็กเล่นคนเดียวมากเกินไป ก็จะขาดโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง  เด็กบางคนเล่นกับตัวเองเป็น 2 บทบาทในคนเดียวกัน  ซึ่งจริง ๆ ควรจะมีผู้ปกครองเล่นด้วยดีกว่า

การสังเกตว่าลูกเริ่มมีปัญหาด้านการสื่อสาร

การสังเกตลักษณะต่าง ๆ สามารถสังเกตได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี ถ้าเด็กเริ่มเข้าช่วงวัย 1 ปีแล้วยังไม่มีการออกเสียง ยังไม่มีการเล่นเสียง เช่น มามา ดาดา ซ้ำ ๆ ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย หรือไม่มีการเลียนแบบท่าทางที่ใช้ในการสื่อสาร เช่น การใช้มือชี้ การโบกมือลา หรือเราเรียกชื่อเขาแล้วเขาไม่หันตาม โดยปกติวัย 1 ปี เขาจะรู้จักชื่อเขาแล้ว ถ้าไม่ตอบสนอง แปลว่าลูกอาจจะมีปัญหา

  • หลัง 1 ขวบครึ่งเป็นต้นไป เด็กควรจะต้องเริ่มพูดแล้ว

แต่ถ้าลูกไม่เลียนแบบคำพูดเลย หรือพูดน้อยมากไม่ถึง 15 คำ ก็ต้องคอยสังเกตไว้ หรือการทำตามคำสั่งง่าย ๆ เช่น สวัสดี บาย ๆ ก็ไม่เลียนแบบ ไม่ทำตามเลย ก็ต้องคอยสังเกตไว้ อาจจะเป็นสัญญานเตือนว่าอาจจะมีปัญหาได้

  • อายุหลัง 2 ขวบ เด็กควรจะต้องรวมคำเป็นวลีง่าย ๆ

เช่น กินนม กินน้ำ หรือพูดเป็นประโยคแล้ว ถ้ายังไม่รวมคำหรือไม่สามารถตอบคำถามง่าย ๆ ได้ เช่น เอาไหม กินไหม ก็ต้องคอยสังเกตเช่นกัน

  • อายุ 3 ปีจะเริ่มพูดเป็นประโยคง่าย ๆ ได้แล้ว รวมถึงตอบคำถามที่ยากขึ้น

เช่น เอาอะไร อันนี้ของใคร ที่ไหน จะเริ่มตอบได้แล้ว

  • หลังจากอายุ 4 ปี จะเริ่มพูดเป็นประโยคยาว เล่าเรื่องราวได้

เช่น เล่าเรื่องที่โรงเรียนได้ บอกในสิ่งที่เขาพบเจอมาได้ และจะพูดชัดขึ้นหลายเสียง แต่ถ้ายังมีเสียงที่พูดไม่ชัดหลายเสียง ควรมาปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ดีกว่าปล่อยให้นานแล้วมีเสียงพูดไม่ชัดเยอะขึ้น  แต่บางเสียงในภาษาไทยเช่น เสียง ซ โซ่ อาจจะพูดได้ตอนหลังอายุ 5 ปีขึ้นไป  ถ้าเราฟังโดยรวมบางเสียงขณะพูดสื่อสาร ถ้าฟังชัดเกิน 50% ถือว่าปกติ แต่ถ้าฟังแล้วไม่ชัด แม้กระทั่งคนใกล้ตัวเองฟังก็ยังไม่ชัดเลย จะต้องมาปรึกษาแพทย์

  • อายุ 5 ขวบ จะเริ่มเล่าเรื่องที่ยาวขึ้น รวมถึงไวยากรณ์ที่ใช้ หลักภาษาไทยจะถูกต้องมากขึ้น

ไม่มีการสลับคำ ตอบคำถามที่เกี่ยวกับเหตุผลได้ วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว ต้องสังเกตว่าเด็กเรียนรู้ช้าไหมเกี่ยวกับเรื่องตัวเลข การจดจำสี หรือตัวอักษร เป็นต้น

เด็กบางคนมีโอกาสที่จะมีปัญหาการได้ยินถดถอยในภายหลัง ต้องสังเกตว่าเรียกแล้วหันไหม ดูการตอบสนองเวลาที่เรียกหรือคุยด้วย มันลดลงไหม เพราะอาจจะมีปัญหาในภายหลังได้

วิธีการแก้ไขหรือช่วยเหลือลูก

ถ้าพบว่าบุตรหลานมีปัญหาเรื่องการสื่อสารหรือการพูด ถ้าพ่อแม่ไม่แน่ใจ ให้มาพบแพทย์พัฒนาการเด็ก หรือแพทย์หู คอ จมูก เพื่อตรวจประเมิน และส่งต่อมาให้นักแก้ไขการพูดได้ประเมินพัฒนาการภาษาและการพูด และวางแผนการฝึกร่วมกับผู้ปกครองต่อไป

เมื่อมาพบนักแก้ไขการพูด ก็จะประเมินก่อนว่าเด็กมีความผิดปกติทางด้านไหน เช่น ผิดปกติด้านความเข้าใจ ผิดปกติด้านการใช้ภาษา หรือเสียงพูดไม่ชัด พอประเมินพบความผิดปกติแล้ว จะทำการวางแผน ฝึกตามพัฒนาการเขา ซึ่งบางอย่างพอมาพบนักแก้ไขการพูด จะใช้ระยะเวลาในการฝึกประมาณ 30 นาที ฉะนั้นจึงต้องใช้วิธีการปรับวิธีการสื่อสารระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง ให้สามารถนำไปกระตุ้นต่อที่บ้านได้  แล้วนัดพบเพื่อดูว่าผลการฝึกเป็นอย่างไร พบปัญหาอะไรไหม แล้วก็จะช่วยปรับให้ผู้ปกครองกลับไปฝึกต่อที่บ้าน

รู้เร็ว รักษาได้

ถ้าพบปัญหาแล้ว ยิ่งมาเร็วยิ่งดี เพื่อจะได้ประเมินดูว่ามีความผิดปกติมากน้อยแค่ไหน แล้ววางแผนฝึกกระตุ้นให้เขาพัฒนาการเร็วขึ้น ถ้าปล่อยปละละเลยให้ช้าเกินไป จะทำให้พัฒนาการช้าลงไปด้วย หรือแม้กระทั่งเรื่องเสียงพูดไม่ชัด  หากปล่อยให้ลูกมีเสียงพูดไม่ชัดมากเกินไป บางเสียงอาจจะมีความยากลำบากในการเรียนรู้ให้พูดชัดด้วยตนเอง  ซึ่งเด็กจะยิ่งมีปัญหาขาดความมั่นใจมากขึ้นไปเรื่อย ๆ  หรือว่าพูดไม่ชัดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ในเด็กที่มีปัญหาเรื่องพัฒนาการล่าช้า ถ้าได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสมและไม่ได้เป็นปัญหาซับซ้อนมาก เขาจะสามารถพัฒนาตามวัยของเขาได้ รวมถึงเด็กที่มีปัญหาเรื่องเสียงพูดไม่ชัดด้วย ถ้าเกิดได้รับการฝึกเสียงที่เหมาะสม ก็จะสามารถชัดได้ตามวัยของเขา

วิธีการเล่นเพื่อเสริมสร้างให้เด็กมีพัฒนาการเรื่องการสื่อสาร

เด็กจะใช้การสื่อสารด้วยคำพูดมากขึ้นหลังจากอายุ 1 ปี ผู้ปกครองสามารถวางรากฐานได้โดยการชวนให้เด็กเล่นสมมุติคือการเล่นที่เลียนแบบจากชีวิตจริง เช่น การอาบน้ำ แปรงฟัน หวีผม แล้วกระตุ้นให้เขาใช้การสื่อสารผ่านการเล่นพวกนี้ได้ ถามตอบเพื่อให้เขาตอบ  พอเด็กเริ่มโตขึ้นหลังอายุ 1 ขวบครึ่งเป็นต้นไป เขาจะเริ่มเอาสิ่งที่พ่อแม่ดูแลมาเล่นสมมุติ อาจจะไม่ใช่ของจริง เอามาเล่นกับตุ๊กตา ซึ่งจะทำให้เรากระตุ้นการสื่อสารได้หลายรูปแบบมากขึ้น ไม่จำกัดเพียงแค่สิ่งที่เราทำในชีวิตประจำวัน เช่น การนอนหลับ หวีผม ก็กระตุ้นผ่านการเล่นได้

 

ข้อมูลโดย
คุณวรางคณา สีนาคล้วน
นักแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมาย
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล


คลิกชมคลิปรายการ “ความผิดปกติทางการพูด เรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ : Rama Square #BetterToKnow” ได้ที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความเรื่อง โรคคางทูม เกิดจาก การใช้ หลอดดูดน้ำ เดียวกัน จริงหรือ ? มีโอกาสติดโรคได้เนื่องจากสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อบนหลอดสามารถแพร่เชื้อได้
โรคคางทูม เกิดจากการใช้หลอดดูดน้ำเดียวกัน จริงหรือ ? มีโอกาสติดโรคได้เนื่องจากสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อบนหลอดสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
บทความสุขภาพ
17-04-2024

1

บทความเรื่อง ยาระบาย แก้ท้องผูก ได้จริงหรือไม่ ? ยาระบายจะเข้าไปช่วยให้การขับถ่ายให้กลับมาเป็นปกติ ดังนั้นยาระบายช่วยให้อาการ ท้องผูก หายได้เบื้องต้น
ยาระบาย แก้ท้องผูกได้จริงหรือไม่ ? ยาระบายจะเข้าไปช่วยให้การขับถ่ายให้กลับมาเป็นปกติ ดังนั้น ยาระบายช่วยให้อาการท้องผูกหายได้เบื้องต้นเท่านั้น
บทความสุขภาพ
11-04-2024

1

บทความเรื่อง โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรค ผิวหนังอักเสบ เรื้อรังชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะมีอาการคัน ผิวหนังแดง มีขุยหนา แล้วโรค สะเก็ดเงิน รักษา อย่างไรได้บ้าง ?
โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะมีอาการคัน ผิวหนังแดง มีขุยหนา แล้วโรคสะเก็ดเงินรักษาอย่างไรได้บ้าง ?
บทความสุขภาพ
10-04-2024

8

บทความเรื่อง ปวดขมับ หรือท้ายทอย คือสัญญาณเตือน โรคไต ! จริงหรือไม่ ? ปวดศีรษะ บริเวณขมับหรือท้ายทอยอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคไตได้มาสังเกตอาการกันว่าแบบนี้จะเข้าข่ายหรือไม่แล้วเมื่อเป็น โรคไต อาการ จะเป็นอย่างไร ?
อาการปวดศีรษะที่ต้องเฝ้าระวัง หากมีอาการปวดบริเวณขมับหรือท้ายทอยอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคไตได้ มาสังเกตอาการกันว่าเมื่อปวดขมับหรือท้ายทอยแบบนี้จะเข้าข่ายเป็นโรคไตหรือไม่ !
บทความสุขภาพ
05-04-2024

5