“โรคแพ้น้ำอสุจิ” มีอยู่จริง หลายคนอาจไม่เคยรู้
ถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่ส่งผลต่อกิจกรรมของคู่รัก นั่นคือโรคแพ้น้ำอสุจิ ที่ทำให้คนที่มีอาการแพ้เกิดผื่นคัน หรือลมพิษรอบตัว บางรายถ้าหากแพ้รุนแรงยังหายใจติดขัด ท้องเสีย และมีอาการอื่นๆ ตามมา ซึ่งน่าสนใจไม่น้อย จากสถิติยังพบว่ามีผู้หญิงแพ้น้ำอสุจิสูงมากกว่า 20,000 คน นับเป็นอีกหนึ่งโรคที่หลายคนควรรู้ว่ามีอยู่จริง เพื่อหาแนวทางในการป้องกันรักษา
โรคแพ้น้ำอสุจิ
เกิดจากการแพ้โปรตีนที่อยู่ในน้ำอสุจิ ซึ่งผู้ที่แพ้จะมีอาการแสบคันบริเวณช่องคลอด หรือมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย บางรายหากแพ้มากๆ อาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ด้วย รวมถึงคลื่นไส้ อาเจียน โดยอาการจะเกิดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 2-3 นาที เช่น อาการแสบร้อนในช่องคลอดหลังมีการหลั่งอสุจิบริเวณดังกล่าว กลายเป็นอุปสรรคของกิจกรรมคู่รัก เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้แล้วจะทำให้ไม่อยากร่วมเพศอีก โดยอาการแพ้น้ำอสุจิเกิดจากร่างกายเกิดการต่อต้านเหมือนกับอาการแพ้อาหารทะเลและอื่นๆ ทำให้แสดงอาการแพ้ขึ้น โดยอาการแพ้จะสามารถแสดงได้ทุกที่ที่มีการสัมผัสกับอสุจิของคนที่มีอาการแพ้ เช่น ผิวหนัง ช่องคลอด ปาก และอื่นๆ
อาการแพ้น้ำอสุจิ
อาจทำให้เกิดการวินิจฉัยพลาดได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อาการที่เกิดจากการร่วมเพศก็มีความแตกต่างกันที่สามารถแยกแยะได้ เช่น การอักเสบที่ช่องคลอดซึ่งเกิดจากเชื้อราที่มีในเรื่องของตกขาว หรืออาการของเริ่มที่จะมีตุ่มใสเกิดขึ้น ความรุนแรงของอาการแพ้น้ำอสุจิ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนแพ้ไม่มากอาจมีอาการเพียงแค่ผื่นขึ้นตามตัวเท่านั้น แต่ถ้าหากในคนที่แพ้มาก อาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจทำให้หายใจติดขัดซึ่งรุนแรงถึงชีวิตได้
ผลกระทบจากอาการแพ้น้ำอสุจิ
คือทำให้ผู้ที่มีอาการแพ้ไม่อยากร่วมเพศ เกิดอุปสรรคในกิจกรรมของคู่รัก และอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ที่น้อยลงตามมา แต่สามารถรักษาได้ด้วยการทำให้มีการกระตุ้นเพื่อให้เกิดอาการแพ้น้อยลง แพทย์จะใช้วิธีการฉีดไขมันในอสุจิเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อให้ร่างกายยอมรับ ช่วยลดอาการแพ้ให้น้อยลงได้ แต่ถ้าหากในผู้ที่มีอาการแพ้มากๆ ก็อาจต้องทำการปฏิสนธิภายนอก แล้วมาฝังที่ไข่ของผู้หญิงแทนเพื่อการตั้งครรภ์ที่สำเร็จ
วิธีการสังเกตตัวเอง
หากพบว่าหลังมีเพศสัมพันธ์แล้วเกิดความผิดปกติ เช่น มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง แสบคันบริเวณช่องคลอด หรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ตั้งข้อสงสัยแล้วไปพบแพทย์เพื่อตรวจอีกครั้ง หรืออีกวิธีการสังเกตที่ดีก็คือหากหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยแล้วเกิดอาการ ให้ลองสังเกตใหม่โดยการมีเพศสัมพันธ์ครั้งต่อไปให้ใช้ถุงยางอนามัยแล้วดูว่าหลังการร่วมเพศมีอาการเกิดขึ้นหรือไม่ หากไม่มีอาการอาจเป็นไปได้ว่ามีการแพ้อสุจิเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อไปพบแพทย์จะมีการซักประวัติ ว่าอาการแพ้เกิดขึ้นหลังร่วมเพศทันทีหรือไม่ หรือเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ จากนั้นแพทย์จะทำการฉีดไขมันชนิดที่อยู่ในอสุจิเข้าไปในบริเวณใต้ผิวหนัง หากพบว่ามีอาการบวมเกิดขึ้น หรือความผิดปกติอื่นๆ เป็นไปได้ว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้อสุจิ
ในกรณีเปลี่ยนคู่นอนก็มีผลต่ออาการแพ้เช่นกัน
เพราะในน้ำอสุจิของแต่ละคนมีสารแอนติเจนที่ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับแตกต่างกัน ดังนั้นบางครั้งการร่วมหลับนอนกับคนหนึ่งอาจเกิดอาการแพ้ ขณะที่การ่วมหลับนอนกับอีกคนหนึ่งอาจไม่เกิดอาการแพ้ก็ได้ ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่มีอาการแพ้น้ำอสุจิยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมหรือไม่
ในผู้ชายก็สามารถแพ้น้ำอสุจิตัวเองได้เช่นกัน
ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิผ่านบริเวณท่อปัสสาวะ โดยอาการของผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิจะมีอาการของไข้หวัด มีน้ำมูก ไข้ขึ้น หรือปวดเมื่อยตามตัวอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างไรก็ตามในผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิตัวเองก็ยังพบได้น้อยมาก
อาการแพ้น้ำอสุจิสามารถป้องกันได้
โดยการใช้ถุงยางอนามัย (ป้องกันการแพ้ในผู้หญิง) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูด้วยว่าอาการแพ้เหล่านั้นเกิดจากการใช้ถุงยางอนามัยหรือไม่ ในบางคนอาจแพ้โปรตีนหรือสารหล่อลื่น วิธีนี้แก้ไขได้โดยการเปลี่ยนชนิดถุงยางอนามัย ส่วนการตั้งครรภ์และความผิดปกติของเด็กในครรภ์จากอาการแพ้น้ำอสุจิ เบื้องต้นพบว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน ปัจจุบันพบอาการแพ้น้ำอสุจิในสหรัฐอเมริกาประมาณ 20,000- 30,000 คน แต่ถึงอย่างนั้นอาการแพ้น้ำอสุจิก็สามารถพบได้ในทุกคน
ข้อมูลจาก
ศ. น.ท. ดร. นพ.สมพล เพิ่มพงศ์โกศล
สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล