“โรคมาลาเรีย” ระบาดหนักภัยร้ายพรากชีวิต
มีข่าวการระบาดหนักของโรคมาลาเรียใน 4 อำเภอของจังหวัดยะลา มีอัตราผู้ป่วยสูงถึง 2,500 รายและเสียชีวิตแล้วอีก 1 ราย อีกทั้งยังมีสถิติของคนที่เป็นโรคเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภาคใต้ ซึ่งถือเป็นโรคที่มีความรุนแรงและทำให้เสียชีวิตได้
โรคมาลาเรีย
เป็นโรคที่มียุงเป็นพาหะ แต่เป็นคนละชนิดกันกับโรคไข้เลือดออก เพราะโรคไข้เลือดออกจะมียุงลายเป็นพาหะ แต่โรคมาลาเรียจะมี “ยุงก้นป่อง” เป็นพาหะนำโรค สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ทำให้ระบาดได้ง่ายเป็นวงกว้าง
โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มักอาศัยอยู่บริเวณชายป่า ชายเขา จำนวน 400 คน พบว่ามีเชื้อเพราะยุงก้นป่องเป็นยุงที่อยู่ในป่า ทำให้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวมีความเสี่ยงมากกว่าคนพื้นที่อื่นๆ ในการเกิดโรค
ล่าสุดยังพบว่าเมื่อทำการเจาะเลือดกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณายป่าชายเขาจำนวน 400 คน พบว่ามีเชื้อมาลาเรียอยู่ถึง 200 คน เรียกว่าครึ่งต่อครึ่งกันเลยทีเดียว จึงเป็นปัญหาที่ต้องรีบจัดการให้เหมาะสม
สำหรับวิธีป้องกันคือการพ่นยาในพื้นที่ แต่อุปสรรคคือชาวบ้านมักไม่ยอมเพราะกลัวว่าจะมีปัญหากับนกที่ตัวเองเลี้ยงไว้ทำให้ยากแก่การป้องกัน
ระยะของอาการป่วยด้วยโรคมาลาเรีย
- ระยะแรก คือ จะมีอาการหนาวสั่น ตัวเย็น ชีพจรเต้นเร็ว มีอาการเกร็ง ปัสสาวะบ่อย อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้น ระยะนี้ใช้เวลา 15-60 นาที เป็นระยะการแตกของเม็ดเลือดแดงที่มีเชื้อมาลาเรีย
- ระยะร้อน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงถึง 40° ตัวร้อน ลมหายใจร้อน หน้าแดง ปากซีด และกระหายน้ำ ชีพจรเต้นเร็วและแรง ปวดศีรษะลึกเข้าไปในกระบอกตา ระยะนี้ใช้เวลา 1-3 ชั่วโมง
- ระยะเหงื่อออก เมื่อสร่างไข้ ไข้ลดลง ผู้ป่วยจะเหงื่อออกและเข้าสู่ภาวะปกติ ระยะเหงื่อออกใช้เวลา 2-4 ชั่วโมง
วิธีป้องกัน
- ควรนอนในมุ้ง ระวังอย่าให้ยุงกัด
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงทุกชนิด
- ถ้าต้องเข้าไปอยู่ในเขตที่มีไข้มาลาเรียควรกินยาป้องกันไว้ล่วงหน้า
วิธีรักษาโรค
- ทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ โดยโรคนี้จะมี 2 อาการซึ่งจะได้รับยาที่แตกต่างกัน อาการแรกคือ ทานยา 3 วัน และอีกอาการคือทานยา 14 วัน ควรทานให้ครบทุกวันตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อให้หายขาดจากโรค
- นอกจากการทานยาบางกรณีแพทย์อาจใช้วิธีการฉีดยาเข้ากระแสเลือด เพื่อทำการรักษา
ข้อมูลจาก
อ. นพ.ธเนศ แก่นสาร
ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล